ส.อ.ท. มอง สงครามราคารถไฟฟ้า ในปี 2569 ยังคงมีอยู่ หลังค่ายรถ BEV ในตลาดไทยยังมีมาก ประกอบการขยายฐานลูกค้ายังสำคัญ เพราะเป็นการวางช่องทางหารายได้จากบริการหลังการขาย

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทยที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงซึ่งจะส่งผลลดภาระให้ผู้เช่าซื้อและผู้มีหนี้ลง ชำระคืนเงินต้นได้มากขึ้น มีเงินเหลือไปจับจ่ายซื้อสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ได้มาตรฐาน โรงงานผลิตมากขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เป็นการเริ่มต้นสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้มีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายที่ 600,000 คัน โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากยอดจองรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo 2025  ที่ผ่านมา ซึ่งทำตัวเลขได้สูงถึงประมาณ 75,000 คัน ถือเป็นยอดจองสูงสุดอันดับ 2 เท่าที่เคยมีมา อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการส่งมอบรถยนต์ เนื่องจากยอดการผลิตในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 130,000 คัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ส่วนการส่งออกไทยส่งออกรถยนต์ไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยมีตลาดหลักคือเอเชีย อยู่ที่ 28.5%  ออสเตรเลียและโอเชียเนีย อยู่ที่ 27% และตะวันออกกลาง อยู่ที่ 21% แต่ในขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวในบางตลาด โดยเฉพาะออสเตรเลียที่ยอดส่งออกลดลงถึง 16% 

เนื่องจากเผชิญการแข่งขันอย่างหนักจากรถยนต์ค่ายจีน ประกอบกับออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้กฎหมายการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้รถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องเสียค่าธรรมเนียมปรับ ส่งผลให้ไทยต้องเร่งผลักดันการส่งออกรถกระบะไฟฟ้าไปยังออสเตรเลีย

...

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า แม้ภาพรวมตลาด EV ในประเทศจะสดใส แต่ในภาคการผลิตรวม (ม.ค.-พ.ย.) ยังมียอดลดลงเล็กน้อยที่ 1.64% เนื่องจากผลกระทบจากยอดส่งออกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเราตั้งเป้าเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์รวมในปี 2569 ไว้ที่ประมาณ 1.45 ล้านคัน โดยมีรถยนต์อัจฉริยะและพลังงานสะอาดเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 

"เรามองว่าการทำสงครามรถไฟฟ้าในไทยจะยังคงมีอยู่ เนื่องจากการลดราคาถือเป็นการดึงดูดลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมารถยนต์สันดาปก็มีการลดราคาอยู่บ้างแต่อาจจะไม่ดุเดือดเท่ากับรถ BEV เพราะรถไฟฟ้าเพิ่งได้รับความนิยมเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับตอนนี้ในตลาดมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเยอะมีการแข่งกันมากขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าค่ายไหนมีต้นทุนการผลิตที่ดีกว่ากัน ก็คือ ผลิตแล้วถูกกว่า และทำการตลาดที่ได้รับความนิยม เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อให้ค่ายรถมีรายได้จากบริการ การจัดหาอะไหล่ และศูนย์ซ่อม อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ และนโยบายของแต่ละบริษัท"

ส่วนภาพรวมสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า เราประเมินว่า หลังจากหมดมาตรการ EV 3.0 ที่ให้ส่วนลดจากการซื้อรถ BEV รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ 100% คันละ 150,000 บาทในปี 2568 นี้ แต่ก็ยังคงมีมาตรการ EV 3.5 ที่ได้อุดหนุนคันละ 100,000 บาทต่อเนื่อง และยังคงได้ภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ทำให้ราคารถอีวียังคงแข่งขันได้ แต่ต้องคอยดูราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ราคาเพิ่งขยับไปเป็น 9 หมื่นหยวนต่อตันจากเดิม 6-7 หมื่นหยวนต่อตันเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

ส่วนจะมีผลต่อราคาขายแค่ไหน ต้องดูว่าจะมีนวัตกรรมอะไรมาชดเชยลิเธียมไอออนได้หรือไม่ เช่น แบตเตอรี่โซเดียมไอออนราคาถูกกว่า เริ่มมีการผลิตจำนวนมากแล้ว จะมาทดแทนได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามยังคาดว่ายอดขายรถ BEV น่าจะใกล้เคียงปีนี้ที่ประมาณ 110,000-120,000 คัน

ยอดขายรถยนต์เดือน พ.ย. 68 

สำหรับการผลิตรถยนต์เดือน พ.ย. 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 พบว่า มีการผลิตรถยนต์ 130,222 คัน เพิ่มขึ้น 11.06% แบ่งเป็น การผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้า 9,624 คัน เพิ่ม 1,974.14% การผลิตรถกระบะไฟฟ้า 66 คัน เพิ่มขึ้น 100%

ส่วนยอดการขายของรถยนต์ในประเทศเดือน พ.ย. 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 พบว่า มีการขายรถยนต์รวม 51,044 คัน เพิ่มขึ้น 20.65% แบ่งเป็น รถยนต์นั่งไฟฟ้า หรือ BEV อยู่ที่ 10,569 คัน เพิ่มขึ้น 91.50% ขายรถกระบะไฟฟ้า 74 คัน เพิ่มขึ้น 100%

ขณะที่ยอดการส่งออกไปต่างประเทศในเดือน พ.ย. 68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 พบว่าการส่งออกอยู่ที่ 78,692 คัน ลดลง 12.22% แบ่งเป็นรถยนต์นั่งไฟฟ้า 2,830 คัน เพิ่มขึ้น 100% และส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 45 คัน เพิ่มขึ้น 100%