ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนที่ชะลอตัว ทำให้ BYD หันไปหาแนวคิดทางเลือกที่หลากหลาย ด้วยการพัฒนารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างเงียบๆมานานแล้ว BYD เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ แต่ปัจจุบัน BYD ขายรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% เสียอีก ตัวเลขการแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดของรถ PHEV จากยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญ เนื่องจาก BYD กำลังขยายฐานการผลิตไปทั่วยุโรปและเป็นที่รู้กันดีว่านอกจากนอร์เวย์และฟินแลนด์แล้ว รถไฟฟ้าไม่เป็นที่นิยมในอีกนับสิบๆ ประเทศของกลุ่ม EU ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับระยะทางโดยไม่ต้องรอชาร์จมากกว่ารถยนต์พลังงานสะอาดที่ต้องชาร์จไฟเมื่อเดินทางไกล 


...


จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ BYD แต่การก้าวสู่ตลาดโลกคือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า การวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นคู่แข่งกับแบรนด์ดังในยุโรป จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการตั้งเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ BYD ต้องปรับปรุง ในความเป็นจริง รถ PHEV ของจีนยังคงไม่เป็นที่นิยมในยุโรป เนื่องจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์และชุดส่งกำลังที่มีมอเตอร์กับแบตเตอรี่ แม้จะทำระยะทางได้พอๆกับรถหรูของเยอรมัน แต่ความเสถียรและความทนทาน ยังคงเป็นรองรถยนต์พลังงานผสมของฝั่งยุโรปอย่างชัดเจน มีแค่ราคาเท่านั้นที่ถูกกว่า (โดยเฉพาะในประเทศไทย) แต่ประสิทธิภาพโดยรวมนั้นยังคงตามหลังแบรนด์ดังของเยอรมันอยู่พอสมควร 

เมื่อ BYD จัดงานอีเวนที่เมืองสตุตการ์ต มาเรีย กราเซีย ดาวิโน หัวหน้าฝ่ายภูมิภาคของ BYD ซึ่งดูแลตลาดยุโรปกลางหลายแห่ง ได้ยืนยันแผนการที่จะนำรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินอย่างน้อยสองรุ่นเข้าสู่ยุโรปภายในปี 2568 โดยเยอรมนีเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายหลักของ BYD

“ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เราต้องการสิ่งอื่นเพื่อโน้มน้าวใจลูกค้า” ดาวิโนกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ “ทุกเดือน เราพยายามหาสมดุลที่ดี ระหว่างสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และสิ่งที่ทำให้การจัดจำหน่ายประสบความสำเร็จ ในอนาคตอันใกล้ BYD จะมีสองแกนหลัก คือ  รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด DM-i”

ปัจจุบัน BYD อยู่ภายใต้มาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีนของสหภาพยุโรปกดอยู่ แต่ BYD ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบ โรงงานผลิตใหม่ในฮังการีและตุรกี จะรองรับรถยนต์ที่ส่งไปยังยุโรปจำนวนมาก ช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นจากการขนส่ง แม้ว่ายอดขายในประเทศจีน จะไม่ได้เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนที่แล้วๆมา แต่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการพัฒนาที่ดี  ในไตรมาสแรกของปี 2568 BYD มียอดขายรถยนต์มากกว่า 37,000 คันทั่วยุโรป  เพิ่มขึ้นประมาณ 8,500 คัน จากไตรมาสแรกของปี 2567

...

นอกจากการนำเสนอรถยนต์ PHEV เข้ามาจำหน่ายในยุโรปแล้ว BYD ยังได้เปิดตัวแบรนด์ Denza ซึ่งพยายามวางตัวให้เป็นคู่แข่งของ Mercedes-Benz, BMW และ Audi แต่ยังห่างไกลหลายขุมโดยเฉพาะไดนามิกขณะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงที่ยังเป็นรองรถเยอรมันอย่างชัดเจน BYD จะเริ่มจำหน่าย Z9 GT ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Porsche Taycan Sport Turismo หลังจากนั้นจะตามด้วยรถตู้ไฟฟ้ารุ่น D9  

BYD มีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ขายในยุโรปไม่มากเท่าที่ควร รถยนต์ PHEV รุ่นเดียวที่ BYD นำเสนอในภูมิภาคนี้คือรถยนต์ซีดาน Seal DM-i แต่สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป

...

ย้อนกลับไปในปี 2008 มีการเดิมพันที่เสี่ยงมากกับผู้ผลิตรถยนต์จีนที่ไม่มีใครรู้จัก  คนส่วนใหญ่นอกประเทศจีนไม่เคยได้ยินชื่อแบรนด์นี้มาก่อน แต่ Berkshire Hathaway ของมหาเศรษฐี Warren Buffett ได้ลงทุนซื้อหุ้น BYD ด้วยมูลค่าถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (231.7 ล้านดอลลาร์) ในปี 2008 BYD เพิ่งจะเป็นบริษัทที่เริ่มก่อตั้งและยังไม่ประสบความสำเร็จในเวทีโลก แต่สิบเจ็ดปีต่อมา การเดิมพันในครั้งนั้นกลับได้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ล่าสุด เมื่อเลยจุดสูงสุดไปแล้ว Buffett ได้ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะยุติการลงทุนกับ BYD

 เอกสารไตรมาสที่3 จาก Berkshire Hathaway Energy ยืนยันว่า บริษัทฯ ได้ทำการเทขายหุ้นทั้งหมดใน BYD แล้ว การขายหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน นับตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งถือเป็นจุดเกือบจะสูงสุดของยอดขาย BYD บริษัท Berkshire Hathaway Energy ได้ทำการลดการถือครองหุ้น BYD โดยแบ่งออกเป็น 15 รอบการลดทุน ซึ่งแต่ละรอบมีการบันทึกไว้ในรายงานทางการเงิน ก่อนที่จะเริ่มการขายหุ้นในช่วงปลายฤดูร้อนของปีนั้น หุ้นของ Berkshire Hathaway มีมูลค่าประมาณ 7.7 พันล้านดอลลาร์

...

เมื่อ Warren Buffett ซื้อหุ้น BYD จำนวน 225 ล้านหุ้นเป็นครั้งแรก ราคาหุ้นของบริษัทซื้อขายอยู่ที่ 8 ดอลลาร์ฮ่องกง CNBC รายงานว่า ราคาหุ้นของ BYD พุ่งขึ้นถึง 3,890% นับตั้งแต่ Warren Buffett เข้าลงทุน ไม่แน่ชัดว่า Berkshire Hathaway ทำเงินได้มากขนาดไหนกับการลงทุนใน BYD แต่แน่นอนว่า จะต้องเป็นเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว 

หลังจากการขายหุ้น หลี่ หยุนเฟย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการสร้างแบรนด์และประชาสัมพันธ์ของ BYD  กล่าวขอบคุณ Warren Buffett และ Berkshire Hathaway  ข่าวการขายหุ้น ส่งผลกระทบต่อตลาดทันที หุ้นของ BYD ร่วงลง 3.4 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการอ่อนแอที่สุดในดัชนีหุ้นจีนของฮ่องกง

 ปีที่แล้ว BYD มียอดขายรถยนต์ทั่วโลก 4.27 ล้านคัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ 1.76 ล้านคัน และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน 2.49 ล้านคัน  ปีนี้ BYD ตั้งเป้าที่จะส่งมอบรถยนต์ได้มากถึง 5.5 ล้านคัน แต่เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และภาวะชะลอตัวของตลาดทั้งในและต่างประเทศ BYD ได้ปรับลดตัวเลขลงให้เหลือ 4.6 ล้านคัน.


อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th  
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom  
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358 /