หลังจากผลิตยานยนต์คันแรกได้ไม่ถึง 70 ปี ปัจจุบัน จากการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้จีนกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกยานยนต์ของโลก และเป็นกำลังสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ นี่คือเส้นทางวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมรถยนต์หลังกำแพงยักษ์จนกลายมาเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

วิวัฒนาการในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ด้วยเป้าหมายลดการพึ่งพาต่างชาติ พร้อมแผนงานสุดทะเยอทะยานเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี จุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อย ซึ่งต้องใช้การลอกเลียนแบบเนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีอยู่ในมือ มีลักษณะเฉพาะคือการผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์ที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ต่างชาติเป็นหลัก ตามมาด้วยช่วงเวลาของการร่วมทุน (JV) กับบริษัทรถยนต์เก่าแก่ที่ก่อตั้งมานาน ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ทั้งหมดนำไปสู่การเกิดขึ้นของแบรนด์ใหม่ในประเทศจีน การเปลี่ยนแปลงไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงแรก และการขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงการล้มหายตายจากของบริษัทเล็กๆ ที่ไม่อาจต้านทานการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ผลิตยานยนต์จีนด้วยกันเอง

...

รัฐบาลจีนวางแผนลงทุนสร้างรถยนต์ในช่วงต้นทศวรรษปี 1900 ตามมาด้วยแผนการผลิตในท้องถิ่น ซึ่งพัฒนาไปสู่ขั้นตอนของการร่างต้นแบบ ความขัดแย้งในภูมิภาคกับญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลงไป หลังสงครามโลก การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก เนื่องจากความสามารถทางเทคนิคที่จำกัดในการผลิตยานยนต์และแทบไม่มีตลาดรองรับสำหรับการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ความพยายามในช่วงแรกของจีน มุ่งไปที่การผลิตรถบรรทุกซึ่งออกแบบโดยต่างประเทศ สำหรับใช้ในรัฐบาลและกองทหาร ในปี 1956 จีนผลิตรถบรรทุก First Automobile Works (FAW) ยานยนต์คันแรกที่ผลิตในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาด 4 ตัน โดยรู้จักกันในชื่อ Jiefang CA-10 ซึ่งใช้พื้นฐานจากรถบรรทุกทหาร ZIS-150 ของโซเวียตเป็นหลัก

...

ในปี 1958 FAW ผลิต Dongfeng CA71 ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของจีน CA71 เป็นรถเก๋งขนาดกลาง ตัวถังหยิบยืมชิ้นส่วนหลักๆมาจาก Simca Vedette แชสซีและเครื่องยนต์ขนาด 1.9 ลิตร ออกแบบโดย Mercedes-Benz ในช่วงเวลานั้น มีการจัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งหลายแห่งได้พัฒนาจนกลายมาเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เช่น Beijing Automotive Investment Corporation (BAIC และ Foton) และ Shanghai Automotive Investment Corporation (SAIC – MG และ LDV)

...

จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับภาคส่วนยานยนต์ของจีนเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อการปฏิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น การวางแผนให้การศึกษากับเยาวชนและส่งเสริมกิจการเล็กๆที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ทำให้เศรษฐกิจในประเทศจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น แต่การผลิตรถยนต์ในประเทศกลับลดลง และการนำเข้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลก็กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากประชากรมีรายได้มากขึ้น จีนเริ่มจากนำเข้ารถของสหภาพโซเวียตและญี่ปุ่น ทำให้จีนกลายเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ไม่นานนัก...การนำเข้ารถยนต์เริ่มก่อให้เกิดการขาดดุลการค้าจำนวนมาก รัฐบาลจีนพยายามแก้ใขด้วยการจำกัดการนำเข้าแบบชั่วคราวและเริ่มวางแผนเพื่อพัฒนาและผลิตยานยนต์ในประเทศด้วยตัวเองเพื่อลดการพึ่งพาและการนำเข้าที่ทำให้เสียดุลทางการค้า 

...

จีนเริ่มอนุญาตให้ผู้ผลิตยานยนต์ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานในจีนได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศขาดแคลนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในการแข่งขันกับผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลก รัฐบาลจีนในขณะนั้นตั้งกฏเกณฑ์ด้วยเงื่อนไขที่ว่าผู้ผลิตยานยนต์จะต้องจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) กับผู้ผลิตรถยนต์ของจีน และจำกัดการถือหุ้นไม่เกิน 50% ปี 1984 จีนลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมทุนครั้งใหญ่ ส่งผลให้ Volkswagen ก่อตั้งบริษัท Shanghai และผลิต VW Santana (หรือที่เรียกว่า Passat ในแอฟริกาใต้) ตามด้วย American Motors Corporation (Chrysler) ซึ่งมีรถ  Jeep หลากหลายรุ่นซึ่งผลิตในโรงงานที่ปักกิ่ง หลังจากนั้น General Motors, Toyota, Honda และ Peugeot กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่เข้าร่วมทุนกับจีน และเข้าไปเปิดโรงงานเพื่อขยายธุรกิจ บริษัทร่วมทุน (JV)  ทำให้พันธมิตรต่างชาติเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน และเริ่มผลิตรุ่นต่างๆ สำหรับตลาดในประเทศจีน

นอกจากการเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศอย่างรวดเร็วแล้ว บริษัทร่วมทุนยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน เกิดการถ่ายโอนเทคนิคการผลิตขั้นสูง เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนของยานยนต์ยุคใหม่ และความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ในจีน พิสูจน์ให้เห็นถึงกุญแจสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตในอนาคตของผู้ผลิตรถยนต์อิสระในประเทศ ตั้งแต่ปี 2018 ข้อกำหนดการร่วมทุนถูกยกเลิกลงไป โดยผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ใหม่ของจีนอัดเม็ดเงินโดยเพิ่มการถือหุ้นหรือเข้าควบรวมเพื่อเป็นเจ้าของการดำเนินงานทั้งหมด 

ในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 มีการก่อตั้งบริษัทรถยนต์ เช่น BYD, Chery, Geely และ Great Wall Motors ในช่วงแรก เน้นการประกอบและการผลิตในประเทศเป็นหลัก แต่ยังคงพึ่งพาการออกแบบและเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เศรษฐกิจจีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ความต้องการรถยนต์เพิ่มขึ้น คนจีนมีเงินมากขึ้นและต้องการรถยนต์ที่มีความหลากหลาย จำนวนผู้ผลิตรถยนต์อิสระของจีนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการสนับสนุนของรัฐ ตามด้วย ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและวิศวกรรมยานยนต์ที่ถ่ายทอดมาจากแบรนด์ชั้นนำของโลก แบรนด์รถยนต์ของจีนเริ่มพัฒนาการออกแบบของตนเอง ตามความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีน ปี 2010 ด้วยยอดขายในตลาดภายในประเทศที่สูงถึง 13.6 ล้านคัน ทำให้จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขายน้อยกว่า 10% ของตัวเลขดังกล่าวมาจากการนำเข้า ในขณะที่ 31% ผลิตโดยแบรนด์อิสระของจีนทั้งหมด

ในช่วงแรกๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน เมื่อการผลิตในท้องถิ่นภายใต้ใบอนุญาตจำกัดอยู่แค่การผลิตแบบพื้นฐานจากต่างประเทศ ทำให้รถยนต์ของจีนมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ต่ำมาก ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 การร่วมทุนกับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของโลกส่งผลให้รถจีนมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ดีขึ้น ในปี 1992 มาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติถูกกำหนดขึ้นมาใหม่และครอบคลุมถึงรายการต่างๆ เช่น ไฟ เบรก และกระจกมองข้าง แต่ไม่ได้รวมถึงการป้องกันการชนหรือระดับความปลอดภัยของโครงสร้าง มาตรฐานเหล่านี้ถูกนำมาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงทศวรรษ 2000 ต่อมา เมื่อมาตรฐานความปลอดภัย ECE, UN และ Global NCAP ถูกนำมาใช้ ตามด้วย C-NCAP (China NCAP) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลเปรียบเทียบประสิทธิภาพการชน และให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยแบบใหม่ มีการทดสอบการชนของส่วนหน้า ด้านข้าง และคนเดินถนน แล้วทำการพัฒนาให้ระบบต่างๆ มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับรถยนต์ของแบรนด์ชั้นนำ ขณะที่ C-NCAP ในปัจจุบัน มีข้อกำหนดให้ติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง ปรับปรุงการทดสอบการชนปะทะในทุกแง่มุม เพื่อปรับระบบความปลอดภัยในยานยนต์จีนให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกมากขึ้น ทำให้รถยนต์ของจีนบางรุ่น ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยที่ถือว่าเข้มงวดมากที่สุด นั่นก็คือ EURO NCAP ด้วยมาตรฐานระบบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว!! 

เมื่อรถยนต์เริ่มแพร่หลาย ทำให้เมืองใหญ่ของจีนต้องเผชิญกับระดับมลพิษที่สูงมาก ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วสร้างผลกระทบด้านมลภาวะอย่างมหาศาล นครปักกิ่งในบางวันเต็มไปด้วยหมอกควันพิษ ค่า PM 2.5 พุ่งสูงจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้ทางการจีนออกกฏเข้มในด้านมาตรฐานการปล่อยมลพิษ CO, NOx และอนุภาคต่างๆ ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1990 หลังจากนั้นในปี 2000 มาตรฐาน China 2 ซึ่งเทียบเท่ากับมาตรฐาน Euro 2 ถูกนำมาปรับใช้ กฎระเบียบต่างๆ ในการลดมลพิษถูกกำหนดให้ออกมาตามมาตรฐานยุโรป มาตรฐาน China 6b ในปัจจุบันนั้นอิงตาม Euro 6 แต่มีข้อกำหนดเพิ่มเติมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็จะเป็นChina 7b ที่เข้มงวดอย่างหนักกับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน

เพื่อผลักดันให้ระดับมลพิษในเมืองใหญ่ลดลง รวมถึงการลดสั่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ รัฐบาลจีน เริ่มต้นสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในปี 2009 รัฐบาลได้วางแผนเพื่อทำให้จีนขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกของรถยนต์พลังงานใหม่ รัฐบาลจีนควักเงินมหาศาลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ เช่น Geely, BYD และ NIO มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก ปี 2015 (พศ. 2558) รัฐบาลจีนทำการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ด้วยการจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ มีการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่งเพื่อรองรับปริมาณรถยนต์พลังงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

กลยุทธ์ต่างๆที่ได้วางหมากมานานกว่า 30 ปี จากการสนับสนุนของภาครัฐ ส่งผลให้จีนกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้านยานยนต์ไฟฟ้า ปี 2024 จีนมียอดขายรถยนต์ปลั๊กอินเกือบ 13 ล้านคัน คิดเป็น 60% ของรถยนต์พลังงานผสมแบบปลั๊กอินไฮบริดและ 40% ของรถยนต์เสียบปลั๊กในตลาดภายในประเทศ มีส่วนแบ่งการตลาด 48% เมื่อเทียบกับ 6.3% ในปี 2020 

รถยนต์ไฟฟ้าจีนขยายขอบเขตลุกลามไปจนถึงอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนเป็นผู้นำระดับโลกและครอบครองห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดเอาไว้ตั้งแต่เหมืองลิเธี่ยมไปจนถึงโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 75% ของโลก ผู้ผลิตรายใหญ่สองรายคือ CATL และ BYD มีส่วนแบ่งการตลาด 37% และ 17% การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในการสกัดและการแปรรูปแร่ธาตุ ทำให้จีนสามารถควบคุมการผลิตลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ได้มากกว่า 50% ของโลก ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนของจีน ควบคุมการผลิตแคโทด 70% และกำลังการผลิตแอโนด 85% การควบคุมและการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานสำหรับแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนเริ่มต้นได้เร็วกว่าผู้ผลิตในตะวันตก 10 ถึง 15 ปี และมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนถึง 20%

ขั้นตอนแรกในการขยายตัวคือการเข้าซื้อกิจการของ MG โดย Nanjing Auto ในปี 2549 ซึ่งต่อมาถูกซื้อกิจการโดย SAIC Motor การเน้นผลิต SUV และรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้แบรนด์ MG ภายใต้การกำกับดูแลของกลุ่มทุนจีนเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ไทย และเพิ่งเข้าสู่ตลาดแอฟริกาใต้ ในปี 2552 Geely ได้เข้าซื้อกิจการของ Volvo จาก Ford ทำให้สามารถเข้าถึงความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย การออกแบบ และวิศวกรรมของบริษัทสวีเดนได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาเอกลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์สวีเดนเอาไว้ นอกจากนี้ Geely ยังซื้อ Lotus และเป็นหุ้นส่วนกับ Mercedes-Benz ผ่านแบรนด์ Smart ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าของร่วมกัน

ในแง่ของความสัมพันธ์กับผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลก ทั้งเยอรมัน ญี่ปุ่นและอเมริกัน มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง นั่นคือ แบรนด์รถยนต์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้เข้าร่วมทุนกับผู้ผลิตยานยนต์ในจีนเพื่อประโยชน์จากความเป็นผู้นำในเทคโนโลยี EV และการผลิตที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนของจีน คุณภาพ การออกแบบ และเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุง ทำให้รถยนต์ของจีนได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก เมื่อรวมกับราคาที่มีการแข่งขันสูง ทำให้จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะเดียวกันผู้ผลิตในจีนยังจัดตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศอีกด้วย

วิวัฒนาการในอุตสาหกรรมยานยนต์จีน เป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่ง จากการผลิตรถยนต์ไม่ถึง 6,000 คันในปี 1985 ไปสู่การผลิตจำนวน 27.5 ล้านคัน ในปี 2024 ด้วยความเป็นผู้นำใน EV และความสำเร็จในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจีนกำลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของการเคลื่อนที่.