Mazda ประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจครั้งประวัติศาสตร์ในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ดีลเลอร์ และพันธมิตรทางธุรกิจ นำทัพโดย มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ Mazda Motor Corporationส พร้อมด้วย ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ Mazda Sales Thailand ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญในรอบทศวรรษ เพื่อเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อการก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน ภายใต้ธีม The Future, Crafted by the Joy of Driving ชูวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ตามแนวทาง Multi-solution ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า แผนเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 5 รุ่น ภายใน 3 ปี เชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศไทย ประกาศทุ่มเงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ หรือ xEVs นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต โดยทำการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็ค เอสยูวี 100,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก

...

มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ Mazda Motor Corporation กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์รอบด้านจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ Mazda ยังคงยึดมั่นในแนวทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง นั่นคือ การพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง เพื่อมอบความสุขในการขับขี่และการใช้ชีวิตทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน Mazda เป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองฮิโรชิมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ เราจึงต้องการมอบความสุข สร้างรอยยิ้ม และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนในสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจของเรา แม้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของพลังงานไฟฟ้าก็ตาม

ภาพรวม Mazda ทั่วโลกเพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Multi-solution และ Intentional Follower

ภาพรวมของ Mazda ทั่วโลก เป้าหมาย คือ การนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้า Mazda คาดว่ายอดจำหน่ายของรถ BEVs อยู่ที่ประมาณ 25-40% ของยอดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่ง Mazda กำลังเดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution Strategy เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ควบคู่กับการใช้แนวทาง Intentional Follower Approach โดยทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิด และรับฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ดีที่สุด คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 Mazda จะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน 100% ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด แต่ในระหว่างนี้ เรากำลังเดินหน้าตามแผนพัฒนา xEVs ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสที่ 1 เป็นการเตรียมความพร้อม เฟสที่ 2 การเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก HEV, PHEV และ BEV จนถึงเฟสที่ 3 เป็นการแนะนำรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

Mazda พร้อมเดินหน้าส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตามแนวทาง Multi-solution ซึ่งรวมถึง MHEVs, HEVs, PHEVs, BEVs, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่า แนวทางนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด

...

แผนกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในไทย

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้น ๆ Mazda ตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดีและความต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกัน ซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย Mazda จะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e ในปีนี้ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Mazda และพาร์ทเนอร์ในประเทศจีน

สร้างไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คอมแพ็คเอสยูวี ตั้งเป้าการผลิต 100,000 คันต่อปี

...

มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ Mazda Motor Corporation กล่าวถึงแผนธุรกิจว่า Mazda ในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ Mazda Sales และผู้จำหน่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2558 ทั้งสองโรงงานนี้ คือรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ Mazda และชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก วันนี้ Mazda ได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี นี่คือจุดเริ่มต้นและก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของ Mazda และเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

...

Mazda Motor Corporation จะนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัย รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒนาทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับ Mazda ทั่วโลก และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ Mazda Sales Thailand บริษัท กล่าวเกี่ยวกับทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจ Mazda ในประเทศไทยว่า สำหรับประเทศไทยนั้น Mazda มุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันทั้งองค์กร ตามแนวทาง Management Policy ประกอบด้วย ผู้จำหน่าย พนักงาน และที่สำคัญสูงสุด คือ ลูกค้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-Centric) สำหรับการเปลี่ยนแปลงของ Mazda ที่กำลังจะเกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1: การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”

สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และ Insight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบัน กลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประมาณ 70% ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะใช้จุดแข็งและพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า

สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ Mazda Sales Thailand และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนาทักษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์และเพื่อนร่วมงาน

สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบคุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของ Mazda 3 ประการ ได้แก่—“Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริตที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุก ๆ touchpoint ของการบริการ

กลยุทธ์ที่ 2: ยกระดับการบริการและการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก

ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูล วิเคราะห์ และตอบกลับอย่างทันท่วงที ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุด

นอกจากนี้ Mazda กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน เช่น การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ที่ 3: การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ด้านออนไลน์: มีการพัฒนาเว็บไซต์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวสารและการให้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าลูกค้าต้องการลงทะเบียนจองคิวรถเพื่อทดลองขับ หรือนัดหมายเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งจะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และไร้รอยต่อ


นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม “Mazda SkyJourney” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทุกแห่งใช้ในการดำเนินงาน ระบบนี้ถูกการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างแม่นยำและมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและสะดวกสบายในทุกขั้นตอน

ด้านออฟไลน์: มีการนำ “Mazda BASICS” แนวทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่าย โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญาและคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากแนวทางที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสปิริตของ Omotenashi หรือปรัชญาด้านการบริการแบบญี่ปุ่น คุณค่าเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านการพัฒนาบุคลากร และการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของมาสด้าในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคต Mazda มีแนวทางในการดำเนินงานด้านอื่น ๆ เช่น

ด้านการปรับโครงสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย

ปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล Mazda มีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม สามารถรองรับลูกค้าที่มาเข้ารับการบริการได้ถึง 250,000 รายต่อปี หรือมากกว่า 20,000 คันต่อปี ซึ่งเพียงพอกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนต่างจังหวัด กำลังเพิ่มศักยภาพของผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 65 แห่ง ให้พร้อมรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วยกลยุทธ์ PMA ใหม่ ที่กำหนดขอบเขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงมีพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สามารถรองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คันต่อปี หรือมากกว่า 37,000 คันต่อเดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบัน Mazda มีลูกค้า 250,000 คัน ที่อยู่ในระบบ ซึ่งเครือข่ายผู้จำหน่ายทั้งหมด 84 โชว์รูม สามารถส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ยังนำ Mazda BASICS มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถส่งมอบงานด้านการขายและการบริการที่มีมาตรฐานสูงสุดได้

v กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์

Mazda ในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 70 ปี มีพันธกิจสำคัญคือการยกระดับประสบการณ์และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะเราเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” นำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ Mazda เพราะความสุขไม่ได้หมายถึงแค่เพียงการมีรอยยิ้ม แต่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน คือความหมายและการเติมเต็มการใช้ชีวิต สะท้อนการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก มีต้นกำเนิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Omotenashi” หรือปรัชญาแนวคิดการบริการแบบญี่ปุ่น

หลังจากนี้ Mazda จะผลักดันธุรกิจด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ “Joy Drives Lives” หรือ ความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุก ๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้าจะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขของการเป็นเจ้าของรถ Mazda

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในไทย

Mazda กำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็ว ๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e

กลยุทธ์ด้านการผลิต

Mazda ยังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่ง และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก โดยโรงงานผลิตทั้งสองแห่งมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือรากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ xEVs ในอนาคต

ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมาสด้าทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทาง Mazda ออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของ Mazda ในการผลิตและส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่าย โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทย เพราะลูกค้าคือหัวใจสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจของมาสด้า ดังนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์ Mazda เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงไปพร้อม ๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ” นายธีร์ กล่าว.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th 
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom 
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/