Maserati ลุยแผนผลิต "รถยนต์พลังงานไฟฟ้า" ที่ทำขึ้นในอิตาลี 100% พร้อมเปิดตัว Maserati GranCabrio Folgore เร็วๆ นี้

มาเซราติ ยนตรกรรมหรูแบรนด์แรกของอิตาลี ที่พัฒนา และผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกาศเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับแบรนด์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ยนตรกรรม มาเซราติ ผ่านการออกแบบ พัฒนา และผลิตในประเทศอิตาลีทั้งหมด เพื่อส่งมอบแก่ลูกค้ากว่า 70 ประเทศทั่วโลก นับเป็น 86% ของยอดส่งออก ซึ่งเมืองโมเดนานับเป็นหัวใจหลักในการยกระดับยนตรกรรมของค่ายตรีศูล ซึ่งตั้งอยู่ ณ โรงงาน Viale Ciro Menotti ที่มีอายุกว่า 80 ปี

ทั้งนี้ ในฐานะแบรนด์ที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับนวัตกรรม ดีไซน์ คุณภาพ เทคโนโลยี และความหรูหรา มาเซราติ ได้เป็นผู้วาดอนาคตของยานยนต์สุดหรู ด้วยการกำหนดกลยุทธ์ที่เข้มข้น และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครบครัน เพื่อก้าวสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า และเพื่อเติมเต็มความฝันให้ผู้ขับไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งใจ

สำหรับ Maserati เป็นรถยนต์หรูภายใต้กลุ่มสเตลแลนทิส (Stellantis) เพียงแบรนด์เดียว และดำเนินการตามแผนฟื้นฟูด้านการเงินเชิงบวกที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2564 ปัจจุบันมีโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีความชัดเจนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้ มาเซราติ รักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มรถหรู โดยมีปริมาณการผลิต และผลกำไรสอดคล้องกับตำแหน่งผู้นำตลาดที่เป็นเอกลักษณ์

...

มาเซราติ เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พร้อมนำเสนอสิ่งที่เหนือความคาดหมายของลูกค้า โดยเริ่มประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น คือ กรันทูริสโม โฟลกอเร (GranTurismo Folgore) และ เกรคาเล่ โฟลกอเร (Grecale Folgore) ซึ่งชื่อ โฟลกอเร สื่อถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน

โดยเริ่มจำหน่ายในอิตาลี และสหภาพยุโรป กรันทูริสโม โฟลกอเร เป็นสุดยอดยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้รับการถ่ายทอดจากการแข่งฟอร์มูลา อี ซึ่ง มาเซราติ เป็นแบรนด์ที่มีจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ต และการแข่งอยู่ในสายเลือด และเป็นผู้ผลิตจากอิตาลีรายแรกที่เข้าร่วมการแข่ง ฟอร์มูลา อี มาตั้งแต่ปี 2566

มาเซราติ กรันคาบริโอ โฟลกอเร หรือ Maserati GranCabrio Folgore มีกำหนดเปิดตัวภายในปีนี้ ตามหลังรุ่นเครื่องยนต์สันดาป โดยเส้นทางสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าจะมีความต่อเนื่องด้วยการเปิดตัว เอ็มซี20 โฟลกอเร (MC20 Folgore) ในปี 2568 ตามด้วยรถยนต์รุ่นใหม่ E-UV BEV ในปี 2570 และควอตโตรปอร์เต้ BEV ในปี 2571

Maserati ทุกรุ่นได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตในประเทศอิตาลีทุกขั้นตอน ตอกย้ำถึงการสืบสานจุดเด่นจากอดีตของแบรนด์ ด้วยการผสานผสานความประณีต และนวัตกรรมอย่างลงตัว โดยมีสำนักงานใหญ่ที่โมเดนา ซึ่งเป็นฐานการผลิต เอ็มซี20 (MC20) และ เอ็มซี 20 แชโล (MC20 Cielo) พร้อมจัดสรรพื้นที่เพื่อรองรับการผลิตรุ่นย่อย โฟลกอเร ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนในอนาคต

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลิตยนตรกรรมที่โดดเด่นด้านดีไซน์ และรายละเอียดสุดประณีต โรงงานที่โมเดนามีโปรแกรมพิเศษชื่อว่า ‘Atelier of the Fuoriserie Personalization Program’ เพื่อรองรับการทำรถยนต์รุ่นพิเศษของ มาเซราติ โดยค่ายตรีศูลได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องกับโรงงานใหม่บนพื้นที่เดิม พร้อมทำการอบรมพนักงานในส่วนของ Fuoriserie Personalization Program

ส่วนโรงงาน Viale Ciro Menotti ดั้งเดิมนั้น ทีมพิเศษของ มาเซราติ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญกว่า 130 ชีวิต เพื่อพัฒนารถยนต์รุ่นปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนการทำงานในห้องปฏิบัติการเพื่อพัฒนา และทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้า นับเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อน มาเซาราติ ให้ยกระดับความหรูของแบรนด์ให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

...

มาเซราติ เป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ Dare Forward 2030 ของสเตลแลนทิส ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 ซึ่งจะประกอบด้วยรถยนต์ครบทุกเซกเมนต์ โดย มาเซราติ รุ่นใหม่มีการประยุกต์ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อรังสรรค์นวัตกรรมชั้นเลิศและสมรรถนะอันเหนือชั้น ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ โดยปีนี้จะเป็นปีสำคัญของการเติบโตและนวัตกรรม ท่ามกลางความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง

ดาวิด กราสโซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาเซราติ กล่าวว่า เรากำลังเดินหน้าเต็มที่เพื่อก้าวสู่โลกแห่งรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีโมเดนาเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำหน่ายแล้วสองรุ่น และจะเปิดตัวอีกรุ่นภายในปีนี้ พร้อมนำเสนอรถยนต์ มาเซราติ ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมที่สุด พร้อมสร้างประสบการณ์การขับที่เร้าใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่แผนกลยุทธ์ระยะยาวและวิสัยทัศน์ของเรา เป็นผลจากความต้องการสร้างความตื่นตะลึงในโลกของรถยนต์สมรรถนะสูง ด้วยความเป็นเลิศด้านการผลิตตามแบบฉบับอิตาเลียน คุณภาพเหนือระดับ และพร้อมจะสร้างอนาคตใหม่ด้วยโมเดลธุรกิจพิเศษที่ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับรถยนต์ที่ยอดเยี่ยม และสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตรีศูลได้ดีที่สุด.