ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ตามจุดชาร์จก็คงจะชุลมุนกันบ้างสำหรับคนที่ต้องใช้ EV เดินทางไกล การเจริญเติบโตของ EV ในไทยเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ตราบใดที่เราต้องใช้รถเพื่อเดินทางและยังมีคนที่บ้านไม่ได้มีทั้ง EV และรถสันดาปให้เลือกใช้ตามใจชอบ รถประเภท Plug-in Hybrid (PHEV) กับรถ EV หิ้วเครื่องปั่นไฟ (Extended-Range EV-EREV) ก็มีโอกาสพัฒนามาเพื่อช่วยให้คนมีข้ออ้างในการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าน้อยลง รถแบบนี้กลับถูกมองว่าครึ่งๆ กลางๆ หรือบางคนบอกว่าแค่มีควันก็บาปแล้ว ทั้งที่ทุกพลังขับเคลื่อนล้วนมีข้อดีและข้อเสีย

...

5..4..3..2..1 ผมไม่ได้กำลังนับถอยหลังรอเข้าสู่ปี 2024 หรอกครับแม้เวลามันจะเหมาะสม ผมกำลังรอดูว่าน้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ ที่เป็น Final Editor บทความของผมแกจะเอารูปรถอะไรขึ้นปกบทความให้ผม (เพราะปกติผมมักเขียนแต่ตัวบทความ น้าฉ่างเป็นคนหารูปให้) ถ้าสมมติรูปปกบทความเป็นอะไรก็ตามจากรั้ว Toyota ไอ้การนับถอยหลังนี่ก็คือ นับเพื่อรอดูว่าเมื่อไหร่จะมีถุงขี้มาปาใส่ในโพสต์ที่เอาบทความผมแชร์ไป หรือครหาว่าผมรับเงินค่ายญี่ปุ่น อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ สังคมปัจจุบันหิวการด่ามาก ขนาดผมเตือนคนมีเงินล้านหกแล้วซื้อ EV 500 ม้าบางรุ่นว่าให้ไปหัดขับในเชิง Performance Driving บ้าง ก็โดนแปลความไปว่าผมรังเกียจคนเงินน้อยบ้าง ดูถูกคนจนบ้าง แล้วที่ตลกคือบางคนเป็น Friend บน Facebook กับผม ก็แชร์ไปแล้วแอบด่าเงียบๆ กับเพื่อนตัวเองใน Comment นึกว่าผมจะไม่เห็น แต่พอผมโพสต์สิ่งต่างๆ บนวอลล์ตัวเอง กลับมาพูดจาดีด้วย มาอวยพรวันเกิดผมด้วย แปลกดีครับ ผมว่าไว้เจอหน้ากันจริงๆ เมื่อไหร่จะเอาภาพเมนต์ที่เขาด่าผมไปชูใส่ลูกกะตาแล้วถามว่าเอ็งต้องการอะไร

สิ่งที่เราต้องการในสังคม คือช่วยกันหาทางให้สิ่งต่างๆ มันดีขึ้น และมันจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากคุณคลั่งไคล้อะไรสักอย่างจนคุณมองว่า ทุกคนที่คิดไม่เหมือนคุณคือ เหน็บ แซะ โง่ ล้าหลัง เห็นแก่ตัว ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาถ้าจะต้องเลิกคบทั้ง EV Extremist หรือ ICE Extremist อยู่แล้ว จะให้ชนก็ไม่กลัวเช่นกัน เพราะส่วนมากอยู่บนโลก Social เก่งขนาดไหน ต่อหน้าทนายผมเมื่อไหร่ ชนะการประกวดมารยาทงาม ไหว้สวยกว่านางนพมาศทุกคน แต่เราจะทะเลาะกันทำไมครับ ในเมื่อทุกคนก็แยกย้ายไปชอบตามแบบของตัวเอง เวลาใครมีคำถาม ก็นำเสนอข้อดีข้อเสียตามประสบการณ์ ไม่ต้องโกหกเพื่อบริษัทรถที่แม่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ ปกป้องอุดมการ์ณที่เจ้าของลัทธิก็ไม่ได้แคร์ถ้าคุณจะตาย พูดกันดีๆ บ้างก็ได้ ที่ผมพิมพ์ไปสองย่อหน้านี้ก็ชั่วพอแล้ว (อ้าว ซะงั้น)

...

ในวันนี้ ผมก็ไม่ได้เขียนบทความเพื่อแซะหรือซ้ำเติมคนใช้ EV รวมถึงไม่ได้จะขุดประเด็นว่า EV ไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ผมพูดถึงว่า ในการพยายามลดคาร์บอนและควันพิษเฉพาะจุดบนถนนของประเทศไทย เราจะทำอย่างไรให้มันบรรลุผล และมันจะไม่จบถ้าต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าอีกฝ่ายสร้างมลภาวะจริงบนโลกมากกว่า พูดกันง่ายๆ ว่า ถ้าให้ผมเอารถไปจอดในโรงรถบ้านคุณแล้วเปิดแอร์นอนดูหนังในรถ คุณอยากให้รถที่ผมเอาไปเป็นเบนซิน ดีเซล หรือไฟฟ้า รบกวนตอบแบบซื่อสัตย์ต่อสัมปชัญญะตัวเองนะครับ จริงอยู่ว่าผมคงไม่ไปนอนในรถที่บ้านคุณหรอก..ทำทำไม แต่ ณ บริเวณหนึ่งของโลก ควันพิษเป็นปัญหา แล้วมันมักจะมีปัญหาตรงที่มีคนอยู่กันเยอะ ถ้ามลภาวะคือสิ่งที่เกิดแล้วไม่สูญสลายไปจากโลก คุณอยากให้มันอยู่ใกล้ หรือไกลตัวคุณ เวลาบ้านคุณมีขยะ คุณใส่รถขยะไปทิ้งที่อื่นหรือทิ้งในรั้วบ้าน แค่นั้นน่าจะกระตุกความคิดอะไรได้บ้าง และนี่คือสาเหตุที่ผมพูดเสมอว่า รถป้ายแดงคันต่อไปของผม ต้องมีถ่าน

...

ทำไมผมไม่ใช้คำว่า “ต้องเป็น EV” แต่ “ต้องมีถ่าน” เพราะผมยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า ผมจะใช้รถที่ไม่มีเครื่องยนต์ไงครับ ผมไม่ใช่คนรวยที่มีเงินซื้อรถหลายคัน หรือใช้รถคันเดียวแต่ราคาซื้อบ้านชนชั้นกลางได้ทั้งหลัง ผมใช้รถในเมืองเป็นหลัก แต่ก็ชอบขับรถไกลๆ ไปไหนมาไหนคนเดียว บางทีก็ไปเชียงใหม่เพราะโดนเด็กเสิร์ฟร้านฮ้านตึ๋งเชียงใหม่กวนเท้าจนได้ใจ (ในแง่ดีนะ..ทางร้านอย่าเพิ่งด่าผม) หรือชอบขับไปกินปูยายตุ๊ที่จันทบุรี แล้วผมก็ไม่ได้อยากมาลุ้นเรื่องที่ชาร์จเท่าไร เพราะช่วงท้ายปี น้องวอร์มช่อง NatWarm Channel ก็โทรมาเล่าให้ฟังถึงปัญหาที่ชาร์จ ซึ่งมากกว่าแต่ก่อน เพราะปีที่ผ่านมา คนไทยออกรถไฟฟ้าเยอะจนยอดขายบางรุ่นซิตี้คาร์ญี่ปุ่นเห็นแล้วขี้พุ่ง ถ้าคุณมองว่าผมและวอร์มกำลังใส่ร้ายรถ EV ขอบอกว่า คนอย่างไอ้เจ้าวอร์มคือคนที่ขาย Z4 เปิดประทุนทิ้งมาซื้อ MG EV ใช้และมันบ้าพอจะพยายามขับ EV ทางไกลไปทุกทิศ เพื่อเอามาเล่าให้ฟังว่าแถวไหนที่ชาร์จดี ที่ไหนพังบ่อย ที่ไหนคนน้อย แต่ปีนี้ ทุกที่คนเยอะครับ

...

ดังนั้น ผมก็พยายามคิดดูว่า แล้วทำไมมันไม่มีใครจริงจังที่จะทำรถสองหัวใจขายในบ้านเราเลย คำว่าสองหัวใจ หมายถึงมีทั้งเครื่องยนต์สันดาป และพลังขับเคลื่อนไฟฟ้า ไม่ว่ามันจะเป็นรถแบบ PHEV ไฮบริด เสียบปลั๊ก แบตโตพอประมาณ ชาร์จได้ วิ่ง EV ได้ไกลกว่าพ่อแม่เราเดินไปตลาด หรือรถแบบ EREV ซึ่งมีพื้นฐานเป็นรถ EV จริงๆ แต่มีเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเสริมระยะให้สามารถวิ่งต่อได้ไกล อาจจะเป็นเพราะบ้านเรานั้นค่อนข้างอับจนทางเลือกถ้าหากคุณไม่ใช่คนรวยแล้วละก็ เราแทบไม่มีรถที่เข้าข่ายตามที่บอกเลย รถ EREV นี่นึกไม่ออกเลยว่าค่ายไหนทำ Nissan Kicks ผมก็ไม่อยากนับเป็น EV (แต่มองว่าเป็นระบบไฮบริดที่ดีมาก..ชาว Nissan อย่าเพิ่งจับถุงขี้ครับ เดี๋ยวเขียนเชียร์ให้อีกทีนะ)

รถ PHEV ในบ้านเรา ถ้าเอาราคาถูกที่สุดแบบเกินล้านไปไม่มาก ก็เห็นจะมีแต่ MG HS PHEV รุ่น D หรือขยับอีกหน่อยก็เป็น Mitsubishi Outlander PHEV ที่เมืองนอกขึ้นโฉมใหม่ไปแล้ว และ Haval H6 PHEV นอกเหนือจากนี้ไปคุณต้องรวยพอไปเล่น Mercedes-Benz, BMW หรือ Audi เพราะญี่ปุ่นค่ายอื่น เกาหลี ก็ไม่มีรถ PHEV ให้เลือก ส่วนค่ายจีนนั้น ใครบอกจีนเขาไม่เล่นปลั๊กอินแล้ว เขาข้ามไป BEV กันหมดแล้ว รบกวนไปเช็กยอดขายของ BYD ในจีนเดือนที่แล้วดูได้ว่า 46% ของยอดขายนั้นเป็นรถมีสองหัวใจเด้อค่ะเด้อ..EV ล้วนขายดีกว่า แต่ PHEV กับ EREV ก็ยังเป็นเค้กส่วนที่พ่อค้ารถจีนกินอิ่มได้ในแดนของเขา แต่พอมาเมืองไทย ไม่รู้ใครไปตีตราบาปไว้ รถแบบนี้เลยถูกเมิน หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นเพราะผู้บริโภคเมินเสียเอง เพราะอย่างที่บอก ทุกรูปแบบการขับเคลื่อน มีข้อดีและข้อด้อย

พูดถึงรถแบบ PHEV แน่นอนว่า ข้อดีหลักๆ คือ เวลาขับไปทำงาน สัญจรระยะใกล้ คุณไม่ต้องใช้น้ำมันก็ได้ เครื่องมันอาจจะติดบ้างเพื่อกันระบบปั๊มกับหัวฉีดเหงาหลับ แต่ส่วนใหญ่รถ PHEV ที่วิ่ง EV Mode ได้สัก 50 กิโลเมตร ก็อาจจะต้องขับไปนานเป็นเดือนกว่าจะเห็นฝาถังน้ำมันเปิดสักครั้ง ไม่ต้องนับพวก PHEV แบตเตอรี่ลูกโตๆอย่างตระกูล 350 e ทั้งหลายของค่ายคุณน้าตราดาวที่วิ่งกันเกิน 100 กิโลเมตรได้ รถพวกนี้ EV Extremist จะยี้แล้วบอกว่าไม่สะอาดจริง ยังมีไอเสีย ทั้งที่ก็ควรคิดสักนิดว่าถ้าใช้ไฟฟ้าจ่ายโลละ 30-50 สตางค์ได้ใครมันจะอยากไปเบิร์นปิโตรเลียมจ่ายกิโลละสองบาทเล่นให้เปลืองครับ

ข้อดีอีกประการหนึ่งของรถ PHEV นอกจากในเมืองประหยัดแบบรถไฟฟ้า ก็คือเวลาเดินทางไกล คุณไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จเลย แค่จับมันดื่มปิโตรเลียมซะ ต่อให้แบตเตอรี่เหลือ 0% มันก็วิ่งกลับบ้านได้ ในกรณีรถประเภท High Performance การยังมีเครื่องยนต์อยู่ ก็อาจช่วยในแง่เอาเสียงเครื่องมาเรียกอรรถรสในการขับ อรรถรสการเปลี่ยนเกียร์ มันคือรถแบบที่คนบ้าสันดาป กับ EV สายสันติมาบรรจบข้อตกลงกันตรงกลางได้

แต่ข้อเสียก็คือ ภาระบานครับ...คุณแบกทั้งเครื่องยนต์ ทั้งมอเตอร์ ไม่ว่าคุณจะเป็นระบบแบบ Mercedes-Benz กับ BMW ที่เอามอเตอร์ไปแซนด์วิชไว้ระหว่างเกียร์กับเครื่องยนต์ หรือระบบแบบ Volvo Plug-in รุ่นก่อนๆ กับ BYD Dual-Mode บางรุ่นที่เอาเครื่องยนต์กับเกียร์มาขับล้อหน้าแล้วเอามอเตอร์ไฟฟ้าไปขับเคลื่อนล้อหลัง ถ้าเล่นเกียร์ +/- ได้ บรื้นได้ วิ่ง EV ได้ แปลว่าคุณมีสามอย่างที่ต้องดูแล องค์ประกอบที่เป็นมรดกสันดาปภายในยังอยู่ครบ แปลว่าคุณแบกทั้งหม้อน้ำใบบึ้ม น้ำมันเครื่องก็มี ยิ่งถ้าพวกที่ตัวเครื่องสันดาปเป็นเครื่องเทอร์โบกำลังสูงๆ น้ำมันเครื่องก็ห้ามกระจอก แบตเตอรี่ก็มี มอเตอร์ก็มี ยิ่งเป็นจุดที่ต้องเชื่อมประสานการทำงานระหว่างสองพลังขับเคลื่อนนี้ ยิ่งซับซ้อนกว่ารถ EV และเป็นเหตุผลที่บางคนบอกว่า ถ้าไม่เล่นสันดาป ก็จะข้ามไป EV เลยดีกว่า เพราะไอ้ภาระค่าใช้จ่าย ไม่ได้หนักคนอื่นหรอกครับ หนักเจ้าของรถนี่ละ แลกกับการมีทั้งความประหยัดในเมืองและความไร้กังวลเวลาเดินทาง คุ้มไหม แล้วแต่คนครับ

สิ่งที่แฝงมาอีกอย่างในความเป็นรถ PHEV คือ เวลาวิ่งด้วยน้ำมัน มันก็ไม่ได้กินเท่ารถน้ำมันปกติครับ มันวิ่งเท่ารถน้ำมันที่แบกน้ำหนัก Extra Penalty 100-200 กก. ที่มาจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ และในแง่สมรรถนะการขับขี่ PHEV บางรุ่นที่วางแบตเตอรี่ไว้ท้ายรถในระดับสูง ก็เข้าโค้งมัน เกาะโค้งดีเท่า EV เพียวๆ ที่วางแบตเตอรี่ไว้ต่ำกับพื้นไม่ได้

ซึ่งนั่นนำมาสู่แนวคิดอีกอย่าง คือ Extended-Range EV หรือ EREV ซึ่งมีเครื่องยนต์เอาไว้บนรถเช่นกัน แบก Penalty เรื่องน้ำหนักแบตเตอรี่ น้ำหนักมอเตอร์และเครื่องยนต์เช่นเดียวกับ PHEV แต่มันมีความใกล้เคียงไปทางรถ BEV (ไฟฟ้า 100%) มากกว่า ถ้าพูดถึงรถแบบนี้ ก็น่าจะมีแต่ BMW i3 บางคันที่สั่งแพ็กเกจติดเครื่องยนต์ปั่นไฟเพิ่ม กับ Chevrolet Volt ซึ่งเจเนอเรชันแรก คนเข้าใจว่าเป็น EREV แต่พอมีข่าวว่ามันสามารถส่งกำลังจากเครื่องไปถึงล้อได้ ก็เลยถูกจัดไปเป็นรถไฮบริดแทน การทำงานของรถประเภทนี้ ก็คือ มีมอเตอร์ขับเคลื่อน มีแบตเตอรี่ลูกค่อนข้างใหญ่ เวลาใช้งานปกติก็เสียบปลั๊กชาร์จแล้ววิ่งแบบ EV ไป พอไฟจะหมด เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นและชาร์จไฟเพื่อให้คุณวิ่งต่อไปได้

และในกรณีที่จะเป็น EREV ได้นั้น สำคัญคือ ตัวเครื่องต้องไม่สามารถส่งกำลังไปถึงล้อได้ และรถรุ่นนั้นๆ มักจะมีรุ่นย่อยที่เป็น EV ล้วนขายประกอบกันไป เช่น BMW i3 ที่ได้ยกตัวอย่างไป ถ้าเครื่องยนต์สามารถเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนพลังไปล้อได้ นั่นก็จะกลายเป็นรถไฮบริดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ รถอย่าง Nissan Kicks หรืออะไรก็ตามที่เป็น e-Power ของ Nissan มีความใกล้เคียงการเป็น EREV มากชนิดที่ว่า หากมันมีปลั๊ก ชาร์จไฟได้ และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าได้อย่างน้อยสัก 100 กม. มันก็อาจกลายเป็น EREV ได้ไม่ยาก

ในภาพรวมทั้ง PHEV และ EREV มีจุดดีบางข้อที่แชร์ร่วมกันได้ เช่น การที่สามารถนำน้ำมันมาแปลงเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถได้ ทำให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่จุไฟโตมากนัก CO2 ที่เกิดระหว่างการผลิตแบตเตอรี่และวัตถุดิบต้นน้ำก็ลดลง ให้ลองนึกว่าแทนที่เราจะทำรถ EV แบต 100kWh คันเดียว เราลดมลภาวะเมืองด้วยรถ 1 คันได้ แต่ถ้าทำเป็นแบต 33kWh ไปใส่รถ 3 คัน เราก็จะมีรถ 3 คันที่ช่วยลดมลภาวะในเมืองได้และปล่อยไอเสียเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น นี่อาจจะเป็นแนวคิดคล้ายๆ กับที่ Toyota มองว่า Solution ในการรักโลกไม่ได้มีแต่การใช้รถ BEV แต่ยังรวมถึงไฮบริดปกติ, PHEV และ FCEV ด้วยขึ้นอยู่กับว่าประเทศไหนเหมาะสมกับรถแบบใด แต่เขาเองก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่กระตือรือร้นเรื่อง EV เท่าที่ควร และการขายหุ้นก้อนโตใน Denso เพื่อระดมเงินไปพัฒนาโครงการ EV น่าจะเป็นสัญญาณบอกว่า Toyota จะเอา “ทุกอย่างรวมถึง EV” ไม่ใช่ “ทุกอย่าง แต่หมก EV ไว้ก่อน”

ถ้าจะบอกว่าผมเขียนมาแนวนี้ เข้าทาง Toyota ที่มี Prius โฉมใหม่พลัง Plug-in Hybrid ขาย ก๊อกๆ คุณครับ จะบอกว่าค่ายจีนเนี่ยเขาก็มีรถทั้งแบบ EREV และ PHEV และขายในอัตราส่วนที่แม้ไม่ได้เยอะเท่า BEV แต่ถ้ายอดตรงหายไปฝ่ายบัญชีก็ขี้พุ่งได้เช่นกัน BYD ยังมีรถซีดานขนาดย่อมอย่าง Qin Plus ที่เป็นรถสองพลัง หรือรุ่นเดอะอย่าง BYD Han ก็มีทั้งแบบ EV และแบบ PHEV หรือแม้แต่ BYD Seal ที่ไทยกำลังขายดีมากตอนนี้ ที่จีน เขาก็มีรุ่น Seal DM-i ที่เป็น PHEV ขายคู่กันไปด้วยโดยทำหน้าตาทาปากให้ต่างจากรุ่น EV นิดหน่อย คือแม้แต่จีน ซึ่งตอนนี้เราต้องนับเขาเป็นมหาอำนาจทางยานยนต์ เขาก็มองว่า จะ EREV จะ PHEV หรือ EV ก็เป็น NEV หรือ New Energy Vehicle ที่มีส่วนช่วยในการลดมลภาวะออกจากเขตตัวเมืองทั้งนั้น

สิ่งที่เราน่าจะมองกันต่อไปก็คือ ตกลง เราจะเชียร์ EV เฉพาะไอ้ที่มันไม่มีไอเสีย เพราะเราคิดว่ามันดี หรือเราจะเชียร์ ใครก็ตามที่พยายามนำการขับเคลื่อนไร้ควัน เข้าไปสู่มหาชนให้ได้มากที่สุดกันแน่ และแบบไหนดีต่อปอดคุณมากกว่ากัน ไม่ต้องยิ่งใหญ่ขนาดไปทำโปรเจกต์วัดสภาพปอดให้โลกทั้งใบ เอาแค่เมืองที่หายใจยังไม่คล่องให้รอดก่อน ส่วนตัวผม ผมมองว่า เราน่าจะมี EV ที่จับตลาดคนทั่วไปสัญจรระยะใกล้เป็นหลัก นานๆ เดินทางที ไม่ค่อยใช้รถช่วงเทศกาล และน่าจะมีรถแบบ EREV ที่พัฒนามาโดยมีระบบไฟฟ้าเป็นพระเอก และเน้นการลดค่าบำรุงรักษาเพื่อจูงใจคนใช้สันดาป ซึ่งทุกวันนี้บางคนยังมีข้อแก้ตัวได้ว่า เวลาเดินทางไกลแล้วลำบาก เราก็ทำให้คนเหล่านี้ยอมรับด้วยการกำจัด Pain Point ของเขาไปทีละข้อจนมันถึงจุดที่เขากล้าเอื้อมไปหารถพลังงานทางเลือก

ในแง่การประหยัดค่าบำรุงรักษา ผมเชียร์รถแบบ EREV มากกว่า PHEV เพราะถ้าเครื่องยนต์มีค่าแค่เอาไว้ปั่นไฟ ก็ไม่ต้องมีเกียร์ทดใดๆ คุณจะไปใส่เทอร์โบชาร์จ ใส่หัวฉีด Direct Injection ทำไม เครื่องยนต์ที่เอาไว้ปั่นไฟ ไม่ได้รับภาระโหลดน้ำหนักรถโดยตรงนี่ครับ คุณจะใช้เครื่อง 3 สูบหรือ 4 สูบก็ได้ เอาเครื่องยนต์จากที่มีในสายการผลิตปกติมาก็ได้ จะได้ใช้อะไหล่สิ้นเปลือง น้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง หัวเทียน หัวฉีด ร่วมกับรถเหล่านั้นได้ ราคาก็ถูกแสนถูก เครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบ ไม่ได้หมุนรอบจัดปั่นจี๋ตลอด จะใช้น้ำมันเครื่องกลั่นจากซากพืชซากสัตว์ราคาถูกๆ แล้วเปลี่ยนถ่ายทีละ 10,000 กม. หรือใช้น้ำมันสังเคราะห์แล้วถ่ายที่ 20,000 กม. ไปเลย เปอร์เซ็นต์รอดก็สูงอยู่ คุณแค่ทำเครื่องยนต์แบบนี้ ให้เผาไหม้ดี มลภาวะต่ำสุดเท่าที่ทำได้ แล้วนำไปใช้กับรถที่มีแบตเตอรี่ขนาดความจุไม่ต้องเยอะ มากสุดไม่เกิน 30kWh มันก็น่าจะพอให้วิ่งได้ 100-150 กม. ได้แล้ว เมื่อรวมกับถังน้ำมันขนาด 30 ลิตร รถควรจะสามารถวิ่งจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ได้..ทำไม..ไม่รู้..จริงๆ เราควรจะแวะยกขาฉี่สักสองทีก็ไม่ผิด แต่คนชอบขายความวิ่งไกลน่ะสิ

ที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่อยากให้ทำมากๆ คือไม่ว่าจะเป็น EREV หรือ PHEV ระบบการชาร์จไฟ ควรทำให้รองรับการชาร์จ DC อย่างน้อย 50kW ได้ เพื่อที่หากมีโอกาส แม้ในยามเดินทางไกล เจ้าของรถก็อาจจะอยากชาร์จไฟเพื่อเอาไปวิ่งแบบประหยัดเงินสัก 100-150 กิโลเมตรก็ได้ นั่นก็จะยิ่งดีกับเรื่องการลด CO2 บนเส้นทางหลักได้อีกด้วย ถ้ามีรถแบบนี้เยอะๆ แล้วเราพยายามทำให้ขายได้ในราคาไม่หนีกับรถ EV แบตเตอรี่ล้วนมากนัก ผมว่ามันก็จะจูงใจให้คนทั่วไปคลายกังวลและเปิดใจรับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าได้มากกว่าการเชียร์แต่ EV หรือเชียร์แต่ไฮบริด หรือเชียร์แต่สันดาป

เรื่องการใช้เครื่องยนต์ที่ต้นทุนการผลิตต่ำ การใช้เครื่องยนต์ที่มีอะไหล่หนาอยู่แล้ว นำมาเป็นเครื่องปั่นไฟแล้วให้รถขับด้วยพลังงานไฟฟ้า..มันคือสิ่งที่ Nissan ทำอยู่ใน Kicks e-Power อยู่แล้วครับ อย่างที่ผมบอก แค่รถแบบนี้ มีแบตเตอรี่โตขึ้นมากๆ หน่อย มีปลั๊กงอกออกมาให้ชาร์จ แล้วชาร์จ DC ได้ด้วย คุณก็จะได้รถคันหนึ่งที่เกาะกระแส EV ไปได้โดยที่วิ่งทางไกลก็ไม่ต้องหวั่น ค่าบำรุงรักษาต่อปีสูงกว่า EV ไม่มาก แต่ไม่กล้าพูดมากกว่านี้ เพราะเดี๋ยวจะโดนหาว่าต้นบทความ เชียร์ Toyota ท้ายบทความเชียร์ Nissan เพราะค่ายญี่ปุ่นจ่ายเงินงาม ทั้งที่อยากบอกว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วได้เงินงามจริงๆ ป่านนี้ Casio หรือ Seiko ที่ข้อมือผมมันน่าจะแปลงร่างเป็น Rolex หรือ Omega ไปแล้วกระมังครับ

รักอะไร ชอบอะไร ไม่ผิด แต่เราต้องชัดเจน ในข้อดี ข้อด้อย ของรถทุกรูปแบบครับ ที่เหลือ ให้เจ้าของเงินเลือกเอง

Pan Paitoonpong