Zebra Technologies สำรวจพบในอนาคตผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกกว่า 60% มีแนวโน้มเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด
ซีบร้า เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ ZBRA เผยผลการสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตยานยนต์อยู่ภายใต้แรงกดดันให้พร้อมรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้
โดยผู้ผลิตยานยนต์ต้องวางแผนให้การเปลี่ยนไปผลิต EVs ซึ่งมีองค์ประกอบ และความต้องการที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปมาก ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ดังนั้น ขั้นตอนสำคัญที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การเพิ่มระบบอัตโนมัติ การสร้างเทคโนโลยีสำหรับใช้ภายในองค์กร และการเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล สถานะของการผลิต และซัพพลายเชนที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตยานยนต์ควรให้ความสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจจะผันผวน ผู้ผลิตยานยนต์ก็พร้อมที่จะลงทุนในนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 7 ใน 10 (74% ทั่วโลก, 69% ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) คาดว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี และ 6 ใน 10 (67% ทั่วโลก, 63% ในเอเชีย-แปซิฟิก) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตภายในปี 2566
สำหรับการสำรวจ Automotive Ecosystem Vision Study ดำเนินการโดยซีบร้า เทคโนโลยีส์ มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 1,336 คนทั่วโลก ซึ่งมีทั้งผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรม ผู้จัดการด้านการขนส่ง และผู้บริโภค ในเอเชีย-แปซิฟิก มีผู้ตอบแบบสำรวจรวมทั้งหมด 350 คน ในประเทศอินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

...
ผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น จะหันมาเลือกซื้อ EVs ในไม่ช้า
ผลการสำรวจเผยให้เห็นว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางความชอบของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้ โดยผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53% ทั่วโลก, 60% ในเอเชีย-แปซิฟิก) มีแนวโน้มจะเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด หรือ HEV แต่การตอบสนองต่อความต้องการ EVs ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ต้องพบกับความท้าทาย
โดย 68% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก (60% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ระบุว่า พวกเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันให้ผลิตยานยนต์รุ่นต่อไป เช่น EVs ขณะที่อีก 75% (71% ในเอเชีย-แปซิฟิก) อยู่ภายใต้แรงกดดันให้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตร และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และมีความยั่งยืนมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเจเนอเรชันต่างๆ ก็ผลักดันให้ผู้ผลิตยานยนต์เร่งพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดย 8 ใน 10 ระบุว่า ความยั่งยืนและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ในการตัดสินใจซื้อและเช่ารถยนต์ 87% ของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของรถยนต์ของตัวเอง
ตามมาด้วยผู้บริโภคกลุ่มเจนเอ็กซ์ 78% และผู้บริโภคกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ 76% ในเอเชีย-แปซิฟิก 85% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญสอดคล้องกัน มีผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล 92% ผู้บริโภคกลุ่มเจนเอ็กซ์ 83% และผู้บริโภคกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ 72% ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากที่สุด
ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีส่วนในการเน้นการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalisation) ให้มากขึ้น ผู้บริโภคเกือบ 4 ใน 5 ระบุว่า ตัวเลือกการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ เช่นเดียวกับผู้จัดการด้านการขนส่ง 8 ใน 10 คน ที่ระบุว่า ความยั่งยืน

ทั้งนี้ การปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ ผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้มากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น โดย 86% ให้ความสำคัญกับตัวเลือกการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ และ 92% ของผู้จัดการด้านการขนส่งระบุเหมือนกัน
และเกือบ 80% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก (77% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ตระหนักดีว่าปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังตัวเลือกรถยนต์ที่มีความยั่งยืน และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ราว 7 ใน 10 ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะตอบสนองต่อความต้องการการปรับแต่งที่เพิ่มขึ้น เหตุนี้ผู้ผลิตยานยนต์ 3 ใน 4 ทั่วโลกจึงระบุว่า สิ่งสำคัญสูงสุดคือการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นต่อไป ตัวเลขนี้ต่ำกว่าในเอเชีย-แปซิฟิกที่ 72% และ 64% ตามลำดับ
Mr. Tan Aik Jin, หัวหน้าฝ่ายการตลาดด้านโซลูชันแนวดิ่งประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก, ซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า จากการสำรวจเราพบว่าผู้บริโภคอยากเห็นการส่งเสริมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคเอง ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องรุกลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้มากขึ้น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตให้แข็งแกร่ง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ดียิ่งขึ้น
...
ความไว้วางใจ และความโปร่งใสในการผลิตยานยนต์
ผู้บริโภคและผู้จัดการด้านการขนส่งต่างกำลังมองหาวิธีเพิ่มทัศนวิสัยในระบบนิเวศยานยนต์ เมื่อพิจารณาซื้อหรือเช่ารถยนต์ 81% ของผู้บริโภคทั่วโลก (85% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และ 86% ผู้จัดการด้านการขนส่ง (92% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ระบุว่า พวกเขาต้องการเข้าใจที่มาของวัสดุ และชิ้นส่วนรถยนต์ของตัวเอง ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มที่เรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นในการผลิตยานยนต์มากที่สุด โดยมากกว่า 8 ใน 10 (ทั้งทั่วโลก และในเอเชีย-แปซิฟิก) ระบุว่า การเข้าถึงข้อมูลของผู้ผลิต รู้ว่าวัสดุและชิ้นส่วนมาจากแหล่งที่มีความยั่งยืนหรือไม่ และการทำความเข้าใจขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อได้รับรถยนต์แล้ว 88% ของผู้บริโภค (82% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และ 86% ผู้จัดการด้านการขนส่ง (88% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ต้องการทำความเข้าใจว่าข้อมูลจากรถยนต์ของตัวเอง จะถูกนำไปใช้ในระบบนิเวศยานยนต์อย่างไร ในส่วนการรวบรวมข้อมูล 83% ของผู้บริโภค และ 84% ของผู้จัดการด้านการขนส่งคาดหวังว่าจะมีสิทธิครอบครองและควบคุมข้อมูลที่รถยนต์ของตัวเองสร้างขึ้น เช่นเดียวกับผู้บริโภค 86% และผู้จัดการด้านการขนส่ง 88% ในเอเชีย-แปซิฟิก

...
ทัศนวิสัยในซัพพลายเชนของยานยนต์
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (79% ทั่วโลก, 83% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และผู้จัดการกองยานพาหนะ (81% ทั่วโลก, 84% ในเอเชีย-แปซิฟิก) ล้วนต้องการรับรู้ถึงความชัดเจนแบบครบวงจรของกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม มีผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์เพียง 3 ใน 10 รายเท่านั้นที่กล่าวว่า พวกเขาจะจัดลำดับความสำคัญของการเชื่อมต่อระบบข้อมูลแบบเรียลไทม์ (30% ในเอเชีย-แปซิฟิก) เพื่อให้สามารถเห็นภาพรวมในการดำเนินงานและเพิ่มการมองเห็นกระบวนการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทานในอีกห้าปีข้างหน้า (32% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
Mr. Tan กล่าวอีกว่า การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้มีความเป็นดิจิทัลผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่าง RFID (Radio Frequency Identification หรือ การระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ) หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์พกพาไร้สาย (mobile device) ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์สามารถมองเห็นภาพห่วงโซ่อุปทานของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถมั่นใจในความยั่งยืนจากการปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากกว่าหนึ่งในสามของผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม (OEMs) จากทั่วโลกและในเอเชียแปซิฟิก ต่างออกความเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงจัดการห่วงโซ่อุปทานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRs), การระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFID)
คอมพิวเตอร์มือถือแบบพกพาที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน (Rugged Handheld Mobile Computers) และเครื่องสแกนแบบพกพา (Scanner) รวมถึงแมชชีนวิชัน (Machine Vision) ที่นำมาใช้ตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในโรงงาน จากการสำรวจแบบสอบถาม พบว่าจำนวนกว่าหนึ่งในสามของบริษัทซัพพลายเออร์ต่างๆ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันในด้านการเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย เช่น การใช้เครื่องพิมพ์สติกเกอร์บาร์โค้ดแบบพกพา และเครื่องพิมพ์สติกเกอร์แบบใช้ความร้อน (Thermal Printer), อุปกรณ์ Mobile Computer แบบสวมที่แขน หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีในการระบุตำแหน่งของสิ่งของหรือบุคคล
...
ด้าน นายศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า ปัจจุบันยอดอุปสงค์ในรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าผู้ผลิตยานยนต์ต้องพร้อมก้าวข้ามอุปสรรคไปได้อย่างทันท่วงที ซีบร้า เทคโนโลยีส์ เป็นบริษัทที่เหมาะสมที่สุดในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ผลิตในการเพิ่มขีดความสามารถของการดำเนินงาน อีกทั้งยังช่วยขจัดอุปสรรคที่มีระหว่างการผลิตได้อีกด้วย จากผลงานที่กว้างขวางและครอบคลุมของเรา ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม, เทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง, ระบบสแกนที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
แมชชีนวิชันสำหรับตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ ในส่วนประเทศไทย นอกจากจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแล้ว ก็ยังเป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน ด้วยนโยบาย 30@30 ของรัฐบาล และแผนที่เชิญชวนให้บริษัทต่างๆ ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
เพื่อกระตุ้นและขยายอัตราการผลิตรถยนต์ไร้มลพิษ หรือรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึง 30% ภายในปี 2030 จึงเป็นโอกาสอันดีของเราที่จะนำเสนอเทคโนโลยีอันเหมาะสม ซึ่งจำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพขั้นสูงในการผลิตของเครื่องจักร และทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายในการผลิตยานยนต์ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านโซลูชันที่หลายหลายอีกด้วย.