หากคุณกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติแบบสปอร์ต พร้อมราคาที่ไม่แรง ลองดู MG4 Electric รถยนต์ไฟฟ้าของ MG ที่กำลังจะเปิดตัวและประกาศราคาในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงปลายเดือนนี้ MG4 Electric มีความคล้ายคลึงกับ BYD Atto 3 ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ แต่เป็นประสิทธิภาพของการขับและการทำระยะทางด้วยไฟฟ้า MG พยายามนำเสนอยานพาหนะไฟฟ้ารุ่นใหม่ ให้กับคนที่ชอบรถแฮตช์แบค ซึ่งมาพร้อมกับสมรรถนะแบบสปอร์ต! ฟังดูเว่อร์วังเกินไป แต่เมื่อผมได้ลองขับเป็นครั้งแรกที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ MG4 Electric แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและผลลัพธ์ของการพัฒนา นี่คือรถไฟฟ้าที่ขับได้ดีพอๆ กับ BYD Atto 3  แต่มีราคาถูกกว่า! 

...

ไดนามิกที่ดีของ MG4 เริ่มจาก Global Performance รถยนต์ไฟฟ้า MG4 Electric วางมอเตอร์ขับเคลื่อนเอาไว้ที่เพลาล้อหลัง ช่วงล่างอิสระทั้งสี่ล้อ โดยเฉพาะช่วงล่างหลังที่เป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่นั้นทำให้การควบคุมส่วนท้ายของรถมีอาการที่ค่อนข้างเป็นกลาง แบตเตอรี่วางอยู่ใต้พื้นของห้องโดยสาร มีการเฉลี่ยน้ำหนักของอุปกรณ์ในระบบขับเคลื่อนให้กระจายทั่วทั้งคันได้อย่างสมดุลตามตัวเลขที่แจ้งมา (หน้า 50% หลัง 50%) แพลตฟอร์มไฟฟ้า nebula pure electric platform ที่ SAIC แจ้งว่า พัฒนามาเพื่อใช้ในยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการออกแบบรูปลักษณ์ได้ค่อนข้างอิสระ มีพื้นที่เบาะหลังกว้าง จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายใน แพลตฟอร์ม nebula pure electric ยังปรับให้ใช้ได้กับรถยนต์ไฟฟ้าตัวถังครอสโอเวอร์ หรือเอสยูวี ที่มีขนาดใหญ่กว่า MG4 การออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ cell to pack ลดขนาดและน้ำหนักของแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายใน จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอน เพื่อลดพื้นที่ และระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบตเตอรี่มีขนาดความหนา 11 เซนติเมตร วางอยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร MG4 ยังผ่านการทดสอบการชนของ EURO NCAP ที่ถือว่ามีมาตรฐานสูงพอสมควร และผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยการจราจรของสหภาพยุโรป (เนื่องจากถูกนำไปขายในประเทศอังกฤษ) 

...

...

MG4 Electric เป็นรถแฮตช์แบคไฟฟ้าที่มีหน้าตาโฉบเฉี่ยวดุดัน SAIC การออกแบบดึงดูดลูกค้าชาวจีนและทั่วโลกด้วยรูปทรงแบบแฮตช์แบค ด้านหน้าของ MG4 มีส่วนกระจังหน้าหรือจมูกที่โค้งมนคล้ายปลาฉลาม ไฟหน้า LEDพร้อมไฟหรี่กลางวัน LED Daytime Running Light ไฟเลี้ยว LED ในแนวตั้งอยู่ตรงมุมกันชนพร้อมช่องดักอากาศด้านข้างแนวตั้ง ช่องดักอากาศด้านล่างแบบแยกส่วน ฝากระโปรงหน้ามีรูปทรง U-Shaped แบบสามมิติ เน้นเส้นสายที่คมชัด

...

ด้านข้างของรถ MG4 Electric มีรูปลักษณ์ที่สปอร์ตด้วยแนวเส้นที่ยกขึ้น แผงประตูและขอบของแนวด้านข้างตัวถังมีเส้นที่คมชัด ซุ้มล้อที่สมส่วนกับระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า-หลังที่สั้นกุดเพื่อความคล่องตัว ล้ออัลลอยด์ทูโทนสีดำและสีเงินขอบ 17 นิ้ว ยาง continental premium contact c ไซส์ 215/50R17 V XL  สำหรับล้ออัลลอย ใช้ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ตามแบบฉบับของยานยนต์ EV พอร์ตชาร์จอยู่เหนือซุ้มล้อด้านซ้าย มิติตัวถังของ MG4 Electric  มีขนาดความยาว 4,287 มิลลิเมตร กว้าง 1,836 มิลลิเมตร สูง 1,516 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า-หลัง 1,552/1,562 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 117 มิลลิเมตร 

บั้นท้ายคือส่วนที่น่ามอง MG4 Electric ดีไซน์ทรงของไฟท้าย LED ขนาดใหญ่เกือบเต็มความกว้าง (มีระบบไฟ LED SAIC Vision) ไฟท้ายเชื่อมต่อกันทั้งสองข้างตามสมัยนิยม กระจกบานฝาท้ายโค้งมนและสอดรับกับรูปทรงของเสาท้ายสไตล์แฮตช์แบคได้อย่างลงตัว สปอยเลอร์หลังออกแบบได้ดีและให้ความรู้สึกแบบสปอร์ต สปอยเลอร์หลังที่ติดตั้งอยู่บนขอบของส่วนท้ายผืนหลังคา เป็นชิ้นงานแบบแยกส่วน ฝาท้ายไม่มีระบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ต้องออกแรงยกกันเอาเอง กันชนหลังออกแบบได้ดี มีชิ้นงานคล้ายแผ่นกันกระแทกสีเงินขนาดใหญ่ ชายล่างบริเวณมุมของกันชนหลังติดตั้งแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงมัลติรีเฟคเตอร์ รูปลักษณ์ด้านหลังของ MG4 Electric ดูคล้ายกับรถครอสโอเวอร์ แต่ความสูงของรถทำให้มันดูเหมือนสปอร์ตแฮตช์แบคที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบ

ในประเทศไทย MG4 EV มีสองรุ่นให้เลือก คือรุ่น X และรุ่น D สีตัวถังของรุ่น X มีให้เลือก 5 สี คือ Camden Grey, Holborn Blue, Dynamic Red, Black Pearl และ Arctic White ส่วนสีตัวถังของรุ่น D มีให้เลือกสี่สีคือ Camden Grey,  Dynamic Red, Black Pearl และ Arctic White 

ราคาของ MG4 Electric (คาดเดา)
รุ่น X ไม่เกิน 950,000 บาท
รุ่น D ไม่เกิน 850,000 บาท

MG4 Electric จะเปิดราคาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ภายในงานเปิดตัวรอบสื่อมวลชน ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2022 ในอิมแพ็คอารีนา เมืองทองธานี ซึ่งงานในรอบประชาชนทั่วไป จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ 

MG4 กับงานตกแต่งภายในที่เรียบง่ายและร่วมสมัย ห้องโดยสารของรุ่นสูงสุด (X) สีทูโทน เชื่อมโยงกับสีภายนอกแบบทูโทนอีกเช่นเดียวกัน แดชบอร์ดด้านบนใช้สีดาว ด้านล่างสีดำ แดชบอร์ดทำจากพลาสติกฉีดขึ้นรูป มีทรงที่โฉบเฉี่ยว พร้อมช่องแอร์แบบเรียวบาง คอนโซลกลางแบบลอยตัว พร้อมตัวเลือกโหมดการขับขี่และปุ่มเบรกมือแบบไฟฟ้า พวงมาลัยแบบสองก้านขนาดกะทัดรัดพร้อมด้านบนและด้านล่างแบบแบน และสีขาวและสีเทาอ่อน เบาะสีทูโทนที่นั่งได้ดี และมีการวางเบาะในระดับที่ต่ำมาก ต่ำกว่าเบาะของ BYD Atto 3 และน่าจะใกล้เคียงกับระดับความสูงของเบาะ MINI เบาะปรับไฟฟ้าสามารถยกความสูงของเบาะได้หากเป็นคนรูปร่างเล็ก แผงหน้าปัดเป็นจอแสดงผลไซส์กะทัดรัดขนาด 7 นิ้ว ที่ติดอยู่กับแดชบอร์ด ส่วนหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ววางอยู่ตรงกลางแดชบอร์ด

พลาสติกแข็งถูกนำมาปรับใช้ในการตกแต่งชิ้นส่วนของแดชบอร์ด แต่ส่วนใหญ่แล้ว ห้องโดยสารของ MG 4 ให้ความรู้สึกหรูหรา ตามมาตรฐานเซ็กเมนต์ของรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกินล้าน วัสดุที่ให้สัมผัสนุ่มจำนวนมากถูกนำมาใช้ในบริเวณที่คนขับและผู้โดยสารจะต้องสัมผัส ภายในปราศจากกลิ่นฉุนของพลาสติกราคาไม่แพง และห้องโดยสารของรถยนต์รุ่นใหม่ก็มักจะสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็น โดยเฉพาะเมื่อคุณเปิดประตูรถจีนราคาไม่ถึงล้าน ความจุสัมภาระขนาด 363 ลิตร ตามหลังรถยนต์ไฟฟ้า volkswagen ID.3 ที่ไม่มีขายในไทยเพียง 20 ลิตรเท่านั้น

ดูเหมือนว่าคนจีนยุคใหม่จะเกลียดการใช้สวิตช์สั่งงานที่แค่หมุนหรือกดเท่านั้น! ใน MG 4 แทบทุกฟังก์ชัน มักจะควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัส แม้ว่าหน้าจอแสดงผลส่วนกลางขนาด 10.2 นิ้วจะแสดงผลได้อย่างคมชัดและใช้งานได้โดยไม่กระตุก แต่ UI ก็ไม่ได้ถึงกับยอดเยี่ยม การเข้า-ออกจากฟังก์ชันต่างๆ ต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้และสร้างความคุ้นเคยก่อนใช้งาน แต่ผมมีเวลาอยู่กับน้องมู่หลานแค่ 20 นาทีสำหรับขับและอีก 20 นาที สำหรับการบันทึกภาพ จึงมีเวลาไม่พอที่จะลองกดดูฟังก์ชันต่างๆในจอมอนิเตอร์กลาง

ในขณะที่ ZS EV ใช้แพลตฟอร์มของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ MG4 Electric นั้นเป็น EV ที่ผลิตขึ้นโดยใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้า Nebula นั่นคือสิ่งที่ MG เรียกแพลตฟอร์มใหม่ ในยุโรป ชื่อที่ใช้คือ Modular Scalable Platform หรือเรียกสั้นๆ ว่า MSP แพลตฟอร์มขั้นสูง ที่พัฒนาขึ้นใหม่ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ‘E2’ เป็นชื่อรหัสภายในตามรายงานของจีน ซึ่งหมายความว่าเป็นตัวตายตัวแทนของแพลตฟอร์ม E1 ของ MG Marvel การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของแพลตฟอร์ม MSP ช่วยให้ MG ปรับรูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าได้ตามต้องการ สามารถนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะฐานล้อระหว่าง 2,650 ถึง 3,100 มิลลิเมตร ด้วยรูปแบบตัวถังที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มใหม่ ทั้งแฮตช์แบค , ซาลูน, ซีดาน ครอสโอเวอร์ เอสยูวี และรถตู้ แพลตฟอร์มใหม่นี้มีบทบาทสำคัญในการเติบโตของ MG ทั่วโลกอีกด้วย 

เมื่อการพัฒนา Marvel X เสร็จสิ้น การทำงานบนแพลตฟอร์มไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่าง Nebula (MSP) ก็เริ่มขึ้นทันที Kang Huaping รองประธานสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรม SAIC ทุ่มเงินทุนจำนวนมากกับแพลตฟอร์มนี้ เพื่อปรับให้ได้มาตรฐาน การปรับให้เป็นโมดูลผสมผสานรวม พร้อมระบบบริหารพลังงานอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า MG 4 มีความยาว กว้าง และสูง อยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด มีฐานล้อกว้าง 2,705 มม. อยู่ในกลุ่มเดียวกับ VW ID.3, Cupra Born, Renault Megane E-Tech Nissan Leaf ORA Goodcat และ BYD Atto 3

ประสิทธิภาพและช่วงระยะการวิ่งด้วยไฟฟ้า
MG4 EV จะมีจำหน่ายในรุ่น X และ D โดยทั้งสองรุ่นนี้มีมอเตอร์ตัวเดียวติดตั้งอยู่ที่ด้านหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน สร้างกำลังได้ 125 กิโลวัตต์ หรือ 170 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร (184 ปอนด์-ฟุต) แบตเตอรี่ขนาด 50.8 kWh ชาร์จไฟจนเต็มทำระยะทาง 425 กิโลเมตร (WLTP ที่ 218 ไมล์) MG4 EV เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.7 วินาที  และบรรลุความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ผมเริ่มต้นการขับทดสอบในสนามปทุมธานีสปีดเวย์ ซึ่งผังของสนามในวันนี้ ถูกจัดวางให้ใช้สำหรับการทดสอบอัตราเร่ง 0-100 ทดลองระบบเบรกสะสมพลังงานหรือ regenerative braking ในขณะที่ยกคันเร่งเพื่อลดความเร็ว ทดสอบการทำงานของช่วงล่างและชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้า Dual Pinion-Assist (DP-EPS)DP-EPS ในสถานีสลาลม รวมถึงโค้งหักศอกตามมุมของสนาม เช่นเดียวกับTesla 3 น้องมู่หลาน MG4 คันนี้ ไม่มีปุ่มสตาร์ต/หยุด แค่นั่งในที่นั่งคนขับหมุนปุ่มเกียร์ไปที่ตำแหน่ง D แล้วก็ไปได้เลย เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า สำหรับปรับความสูงของที่นั่งและมุมของพนักพิง แต่ไม่สามารถปรับมุมของฐานเบาะได้ ผลลัพธ์คือผมควรจะได้ตำแหน่งการขับขี่ที่เหมาะสมมากกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปรับแต่งให้เบาะอยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบได้ ขอเป็นปรับแบบ 8 หรือ 10 ตำแหน่งแทนที่แบบ 6 ตำแหน่งจะดีกว่านี้มาก

ประสบการณ์การขับของ MG4 ในสนามทดสอบนั้นดีมาก เมื่อเร่งความเร็วก็มีแค่เสียงวี้ดของมอเตอร์ไฟฟ้า มันเงียบและได้รับการขัดเกลาปรับแต่งช่วงล่างมาดี แรงบิดที่ฉับไวและตอบสนองการเร่งความเร็ว คุณภาพการขับนั้นสะดวกสบาย และความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับ EV ที่ขับเคลื่อนล้อหน้าคือแชสซีที่ขับเคลื่อนล้อหลังให้การควบคุมที่โดดเด่นจนเพื่อนสื่อบางสำนักถึงกับเอ่ยปากชม การบังคับเลี้ยวก็ยังมีระดับความรู้สึกที่ดีแม้จะเบาไปนิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าล้อหน้าช่วยทำหน้าที่บังคับเลี้ยวเท่านั้นแทนที่จะต้องส่งกำลังแบบ bZ4X โดยรวมแล้ว MG4 ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเบา (น้ำหนักรถ 1,685 กิโลกรัม ถือว่าพอดีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไซส์นี้) 

รถ EV ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง เช่น Volkswagen ID.3 มีระบบควบคุมการยึดเกาะถนนที่ไม่อนุญาตให้ยางหลังมีการเลื่อนไถลในระดับใดๆ MG4 มีซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นกว่าสำหรับนักขับ โดยยอมให้เกิดอาการลื่นไถลได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนที่เปียกชื้น เมื่อยางล้อหลังมักจะมีปัญหาในการยึดเกาะถนนภายใต้การเร่งความเร็ว ปุ่มควบคุมทางกายภาพเกือบทั้งหมดไม่มีให้ใช้งานหรือไม่ก็ถูกเอาออกจากแดชบอร์ดเกือบทั้งหมด การควบคุมรถส่วนใหญ่เข้าถึงได้ผ่านหน้าจอสัมผัส ซึ่งรวมถึงโหมดขับเคลื่อน บนหน้าจอหลักมีปุ่ม Car - หากคุณกดปุ่มนี้ คุณจะได้รับตัวเลือกต่อไปนี้: การขับขี่, MG Pilot, ความสะดวกสบาย, ไฟส่องสว่าง และความปลอดภัย ปุ่ม Drive ให้เลือกจากโหมด Snow, Eco, Normal, Sport และ Custom มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าสามารถกดปุ่มเดียวบนแดชบอร์ดเพื่อปรับโหมดการขับขี่ แทนที่จะต้องเข้าไปที่หน้าจอสัมผัสซึ่งดูแล้วยุ่งยากมากกว่า แต่รถไฟฟ้าจีนส่วนใหญ่ก็จะใช้การสั่งงานต่างๆ ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว ระบบเตือนการออกนอกเลนสามารถปิดได้  และเมื่อปิด ระบบจะแจ้งว่ามันปิดอยู่ในครั้งต่อไปที่สตาร์ตรถ

เบาะที่สวยงามและนั่งสบายของ MG4 Electric ปรับเบาะคนขับด้วยไฟฟ้า 6 ระดับ ตัวเบาะวางอยู่ต่ำราวกับรถสปอร์ตอย่าง Mazda MX-5 ซึ่งมีเบาะนั่งที่ต่ำเอาเรื่อง การนั่งใน MG4 แล้วกดเบาะลงจนสุดคล้ายกับคุณกำลังนั่งควบคุมรถสปอร์ตไฟฟ้าพลังสูง! ด้วยระยะห่างของเบาะกับผิวถนนนั้นใกล้กันมาก นอกจากเบาะที่ต่ำแล้ว การกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 และจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของยานยนต์ไฟฟ้าส่งเสริมการทรงตัวขณะเลี้ยวให้ดีขึ้นไปอีก การบังคับควบคุมและไดนามิกของรถอยู่ในเกณฑ์ดี มอเตอร์ไฟฟ้าตอบสนองต่อการเร่งความเร็วอย่างฉับพลันทันที

ช่วงล่างจะแข็งกว่า BYD Atto 3 ทำให้การเลี้ยวเร็วๆโดยปราศจากแทรคชันคอนโทรลคอยควบคุมจะทำให้ท้ายปัดได้ การเซ็ตรถในลักษณะดังกล่าวให้อารมณ์ดิบๆของการขับรถสปอร์ต และเหมาะกับคนที่ชอบความกระฉับกระเฉง พวงมาลัยแม่นยำและมีน้ำหนักคงที่ ทำงานขึ้นตรงกับโหมดขับเคลื่อนและสปีดความเร็ว พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าแบบ Dual Pinion-Assist (DP-EPS) แทนพวงมาลัยเพาเวอร์แบบแร็ค-แอสซิสท์ไฟฟ้า (REPS) แบบเดิมใน MG ZS EV เทคโนโลยีใหม่นี้ มาถึงอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ในเวลาเดียวกับที่ลูกค้าทั่วโลกเริ่มชอบรูปแบบตัวถังแฮตชแบค และระบบส่งกำลังไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ โหลดของพวงมาลัยไฟฟ้า จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายใน ICE เนื่องจากน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่หนักกว่าระบบขับเคลื่อนแบบเชื้อเพลิง ระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้าที่ให้ความรู้สึกแตกต่างและละเอียดอ่อน เพื่อตอบสนองและรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ใน DP-EPS ปีกนกหลักได้รับการปรับให้เหมาะสมที่สุดสำหรับไดนามิกและประสิทธิภาพการทรงตัวของรถ เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่ให้ความรู้สึกดีทั้งสัมผัสและความคมชัดแม่นยำไม่มีอาการคลุมเครือ 

MG แจ้งว่า มีการปรับความสูงของรถให้ต่ำแบบรถสปอร์ต การมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมาก เนื่องจากแบตเตอรี่ที่แบนเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นระบบแบตเตอรี่แบบ “One Pack” (เรียกว่าระบบแบตเตอรี่ Rubik's Cube ในประเทศจีน) นี่คือแบตเตอรี่ที่แบนที่สุดเท่าที่ SAIC บริษัทแม่ได้พัฒนาขึ้นมาใช้งาน ระบบแบตเตอรี่แบบ One Pack พร้อมการจัดเรียงเซลล์เอนนอน ช่วยให้ความสูงของแบตเตอรี่แค่ 110 มม. ถือเป็นแบตเตอรี่ชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ความยาวและความกว้างของแบตเตอรี่อยู่ที่ 1,690 มิลลิเมตร และ 1,300 มิลลิเมตร SAIC ใช้เทคโนโลยี Cell-to-Pack หรือ CTP ทำให้ MG4 Electric เป็นหนึ่งใน EV ที่ล้ำหน้าที่สุดของแบรนด์ MG ในปัจจุบัน

ระบบแบตเตอรี่ One Pack ทำให้สามารถออกแบบชุดแบตเตอรี่ที่มีความจุในการเก็บพลังงานตั้งแต่ 40 kWh ถึง 150 kWh การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ออกแบบให้ง่ายขึ้น ซึ่งหมายความว่า SAIC จะสามารถขายรถยนต์ EV ที่ใช้ MSP ด้วย BaaS (Battery as a Service) Zhu Jun รองหัวหน้าวิศวกรของ SAIC กล่าวว่า ลูกค้าในจีน สามารถอัปเกรดและแม้แต่เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กลงได้เมื่อจำเป็น Ningde E-CON Power System บริษัท Shanghai E-CON Power System ซึ่ง SAIC ถือหุ้น 30% ผ่าน Ningde Jiaocheng SAIC Industry Upgrade Equity Investment Partnership (LP) เป็นผู้ผลิตชุดแบตเตอรี่ของ MG4 Electric

กำลังชาร์จ
แพลตฟอร์ม MSP เปิดใช้งานเทคโนโลยีการชาร์จ 800 โวลต์ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหญ่ สำหรับรุ่นที่ติดตั้งเทคโนโลยีการชาร์จ 800 โวลต์ เมื่อชาร์จไฟ 5 นาที จะวิ่งได้ไกล 200 กม. และใช้เวลาเพียง 15 นาที ในการชาร์จไฟจาก 10 ถึงระดับ 80% รุ่นที่ติดตั้งเทคโนโลยีการชาร์จ 400 โวลต์ปกติจะใช้เวลา 5 นาที กับระยะทางที่ได้ประมาณ 100 กม. สำหรับ MG4 Electric กับการชาร์จไฟกระแสตรง DC ใช้เวลา 30 นาที ในการชาร์จจาก 10 ถึงระดับ 80% 

MG4 Electric ในประเทศไทย ก็คือรุ่น Standard Range ที่ขายในประเทศอังกฤษ อุปกรณ์พื้นฐานประกอบด้วยไฟหน้าและไฟท้าย LED อัตโนมัติ ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ชุด MG Pilot ADAS ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้ ฯลฯ ปรับปรุงประสิทธิภาพแอโรไดนามิก สามารถเพิ่มระยะทางได้ถึง 10% โดยการควบคุมการไหลของอากาศ รุ่น X มาพร้อมหลังคาทูโทน, สปอยเลอร์หลัง, เบาะปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง สำหรับที่นั่งคนขับ, พวงมาลัยแบบสองก้านหุ้มหนังแท้พร้อมสวิชท์มัลติฟังก์ชัน, ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย, ระบบ MG iSmart อัพเกรดใหม่ และอื่น ๆ อีกเพียบ กล้อง 360 องศาและคุณสมบัติเพิ่มเติมของ MG Pilot (การตรวจจับจุดบอด ระบบช่วยเปลี่ยนเลน และการแจ้งเตือนการจราจรด้านหลัง) 

พบกับ MG4 Electric พร้อมราคาที่คาดว่า จับต้องได้ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 39” ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565 

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/