ธุรกิจ “รถจักรยานยนต์” ในประเทศไทยยังคงมีความสำคัญ เพราะมีบทบาททั้งในแง่การคมนาคม การใช้งานส่วนบุคคล และตลาดการค้า–ส่งออก จึงนับว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ
โดยภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยประจำปี 2568 มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ยอดขายในประเทศทั้งปีอยู่ที่ 1.68-1.73 ล้านคัน ขณะที่ยอดการผลิตทั้งปีอยู่ที่ 2.1 ล้านคัน โดยเป็นการจำหน่ายในประเทศ 80-85% ของยอดผลิต ขณะที่อีก 15-20% เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก
แบรนด์ “ฮอนด้า” ยังคงเป็นเจ้าตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 81–82% ตามมาด้วย “ยามาฮ่า” ที่มีส่วนแบ่งประมาณ 12–13%
อย่างไรก็ดี ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไม่ได้มีเพียงแค่ 2 แบรนด์นี้ โดยในปีนี้พบว่ามีแบรนด์รถจักรยานยนต์ในไทยอีกไม่ต่ำกว่า 25 แบรนด์ ครอบคลุมทั้งที่เป็นรถจักรยานยนต์ประเภทสันดาป (ICE) และรถจักรยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (EV) รวมทั้งแบรนด์บิ๊กไบค์ หรือรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่
ดังนั้นแม้ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศจะมี 2 แบรนด์ใหญ่คือ ฮอนด้า และยามาฮ่าที่กินส่วนแบ่งมากสุด โดยฮอนด้ามีส่วนแบ่งการตลาดถึง 81–82% แต่การแข่งขันในตลาดรถจักรยานยนต์ก็มีความรุนแรงเข้มข้นชนิดห้ามเผลอกะพริบตา จึงอย่าแปลกใจที่ตลอดทั้งปีจะได้เห็น ค่ายไทยฮอนด้า ยังคงเปิดเกมวิ่งสู้ฟัดตลาดรถจักรยานยนต์อย่างหนักหน่วงไม่มีกั๊ก ชนิดที่ว่าไม่มีอ่อนข้อให้ หรือรู้จักเหน็ดเหนื่อยในการทำตลาด
ขณะที่ ค่ายไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ก็พร้อมฮึดสู้ชูสองนิ้ว แม้จะมีเสบียงกรังที่น้อยกว่าก็ตาม ไม่ยอมเป็นกระสอบทรายเคลื่อนที่ให้ค่ายไทยฮอนด้าไล่ฮุบส่วนแบ่งการตลาดไปมากกว่านี้
ส่วนค่ายแบรนด์รถจักรยานยนต์รายอื่นๆ ทำได้เพียงแค่ประคองตัวไม่ให้บอบช้ำหรือส่วนแบ่งขนมเค้กของตนหดแฟบไปมากกว่าที่เป็นอยู่
สำหรับการแข่งขันในกลุ่มบิ๊กไบค์หรือรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่นั้นเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงระยะหลังไม่รุนแรงเข้มข้นเหมือนเมื่อ 4-5 ปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีจำนวนจำกัด ไม่แมสเหมือนรถจักรยานยนต์ทั่วไป ที่สำคัญแฟนคลับของกลุ่มบิ๊กไบค์ยังมีลักษณะทางใครทางมัน แต่ละแบรนด์จะมีแฟนคลับเป็นของตนเอง
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ตลาดรถจักรยานยนต์จะมีปัจจัยเสี่ยงเหมือนกับอีกหลายธุรกิจ เช่น หนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยสินเชื่อเข้มงวด แต่ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับตลาดรถยนต์ และที่สำคัญยังเป็นอีกอุตสาหกรรมที่กลุ่มทุนยานยนต์จากจีนไม่อาจจะตีป้อมค่ายแบรนด์รถจักรยานยนต์สายพันธุ์ญี่ปุ่นได้ แม้ว่าจะเริ่มมีเทรนด์ตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และภาครัฐก็ให้การสนับสนุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการออกมาตรการต่างๆ แต่นักเลงรถจักรยานยนต์ชาวไทยยังคงตัดสินใจเลือกซื้อรถจักรยานยนต์ประเภทสันดาปมากกว่าอยู่ดี
สำหรับแนวโน้มตลาดรถจักรยานยนต์ในปี 2569 ยังคงมีทิศทางที่สดใส เพราะมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ทั้งการลงทุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาด และการแข่งขันอย่างเข้มข้นของแบรนด์ต่างๆ
โดยปีหน้ามีแนวโน้มสำคัญคือการเติบโตของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (e-motorcycle) เพราะมีจำนวนผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยแนวโน้มนี้สอดคล้องกับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งอาจผลักดันยอดผลิต EV ให้ขยับมากขึ้นในปี 2569
ขณะที่ความต้องการในประเทศยังคงเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งการขยายตัวของธุรกิจพวกรถส่งอาหารและขนส่ง (ride-hailing, delivery) ซึ่งใช้รถจักรยานยนต์ในปริมาณมาก รวมถึงตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (sub-125 cc) ที่ยังเป็นกลุ่มหลักของผู้ซื้อ
การแข่งขันของตลาดรถจักรยานยนต์ในปีหน้ายังคงดุเดือด หลับตาก็รู้ว่ามันหยดติ๋ง!!!