ปีนี้ยังคงถือเป็นปียามยากของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งไทยยังคงอยู่ในจังหวะสโลว์ซบ เศรษฐกิจชะลอตัวกันถ้วนหน้า ส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจึงไม่ค่อยสดใสมากนัก

“สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์” ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งถือเป็นกูรูแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 ในด้านการผลิตคงจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1,450,000 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 950,000 คัน และผลิตเพื่อขายในประเทศ 500,000 คัน

เหตุผลที่ตั้งเป้าผลิตส่งออก 950,000 คันน้อยกว่าปี 2567 ก็เพราะความไม่แน่นอนในการค้าโลกจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาจากประเทศต่างๆทั่วโลก 25% จากเดิมเก็บ 2.5% และยังมีภาษีนำเข้าเฉพาะประเทศสำหรับสินค้าทั่วไปซึ่งประกาศเมื่อต้นเดือน เม.ย.ในอัตราสูงมาก จึงกังวลว่าประเทศคู่ค้ากับประเทศไทยที่ผลิตรถยนต์และส่งออกไปสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศที่ส่งสินค้าทั่วไปอาจส่งออกรถยนต์และสินค้าทั่วไปลดลงซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง อาจจะซื้อรถยนต์น้อยลงส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทย

อีกทั้งยังมีประเด็นอื่น เช่น มีรถยนต์นั่งบางรุ่นที่ส่งออกจะเลิกผลิตช่วงกลางปี และหลายประเทศที่นำเข้ารถยนต์จากประเทศไทยก็มีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น เช่น ประเทศในอาเซียน และประเทศออสเตรเลียและโอเชียเนีย

ส่วนที่ตั้งเป้าผลิตขายในประเทศมากกว่าปี 2567 ก็เพราะปีนี้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาขายในประเทศไทยปี 2565–2566 ต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้ 1.5 เท่าของจำนวนที่ยังผลิตไม่ครบในปี 2567 ซึ่งคาดว่าน่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 50,000 คันจากที่ต้องผลิตชดเชยประมาณ 100,000 คัน จึงคาดว่ายอดผลิตรถยนต์นั่งจะเพิ่มขึ้นแม้ว่าบางรุ่นจะเลิกผลิตก็ตาม

ส่วนยอดผลิตรถกระบะคงผลิตลดลงไม่มากเพราะผลิตลดลงมาเกือบ 3 ปีแล้วตามยอดขายในประเทศที่เคยขายได้เดือนละ 30,000 คัน เหลือเดือนละ 10,000 คัน หรือเหลือแค่หนึ่งในสามของรถกระบะที่เคยขายได้แต่คาดว่าอาจจะมีการผลิตรถกระบะไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการปล่อยคาร์บอน การผลิตรถกระบะจึงอาจจะลดลงไม่มาก

นับจากนี้ไปประเทศไทยก็จะเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าเพื่อส่งออกและขายในประเทศเพิ่มเติมจากการเป็นฐานผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ส่งออกไปทั่วโลกและขายในประเทศ ต่อไปอาจจะเป็นฐานผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าเพื่อส่งออกและขายในประเทศตามกฎหมายในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก กฎหมายอากาศสะอาดที่กำลังพิจารณากันอยู่

ประเทศไทยยังเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียน โดย 8 เดือนแรกปีนี้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้ 949,140 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 40% ของยอดผลิตรวมของอาเซียนที่ 2,397,816 คัน

ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ที่ยอดขายรถกระบะยังคงขายลดลง แต่รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาเป็นพระเอกช่วยให้ยอดขายรถยนต์นั่งเติบโต โดย 9 เดือนแรกปีนี้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขายได้ถึง 81,351 คัน เพิ่มขึ้น 55.79% จาก 9 เดือนปีที่แล้ว มีส่วนแบ่งตลาดถึง 18.16% ของยอดขาย 447,969 คัน และยังมีการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในประเทศเมื่อเดือน เม.ย.และส่งออกในเดือน พ.ค.

ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่มีการส่งออกรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยและส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยและยังขายรถกระบะไฟฟ้าในประเทศด้วยทั้งปี คาดว่าน่าจะขายได้ 600,000 คัน มากกว่ายอดขายในประเทศปี 2567 เล็กน้อย

จากการคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยการนำเข้าซึ่งผู้ซื้อจะยังคงได้รับเงินอุดหนุนคันละ150,000 บาท บวกกับรถยนต์ไฟฟ้าโครงการ 3.5 ที่นำเข้ามาขายในปี 2567-2568 ซึ่งผู้ซื้อจะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท จึงคาดว่ายอดนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจะยังมีจำนวนหนึ่ง

เมื่อรวมกับรถยนต์นำเข้าบางรุ่นซึ่งจะแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการส่งเสริมการขายในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” หรือ “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025” ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.–10 ธ.ค.นี้ ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ซึ่งน่าจะมียอดจองซื้อรถยนต์หลายหมื่นคันดังเช่นปีที่แล้ว ถ้าสถาบันการเงินผ่อนคลายความเข้มงวดลง ปล่อยสินเชื่อให้ซื้อรถได้มากขึ้น และผู้ขายส่งมอบรถถึงมือผู้ซื้อได้ตามเร็วขึ้น มั่นใจว่ายอดขายรถยนต์รวมในปีนี้จะถึง 600,000 คัน

สำหรับปื 2569 เรื่องการส่งออกรถยนต์มีประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรของท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ต้องรอการวินิจฉัยของศาลสูงของสหรัฐอเมริกาว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคงใช้เวลาอีกหลายเดือนและความไม่แน่นอนในการเข้มงวดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth Elements) ของประเทศจีนที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการผลิตรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอื่นๆ รวมทั้งการขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยังไม่ยุติ

ส่วนในประเทศไทยก็จะมีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีรัฐบาลใหม่ มีนโยบายในการบริหารประเทศใหม่ ยังไม่มั่นใจว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2570 จะทันใช้ในวันที่ 1 ต.ค.2569 หรือไม่ และยังรอผลการผลิตรถยนต์ ยอดส่งออกรถยนต์และยอดขายรถยนต์อีก 3 เดือนข้างหน้า

จึงคาดว่าทุกอย่างเหมือนปัจจุบันนี้ โดยเบื้องต้นนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะลดลง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการเติบโต GDP ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.ตั้งไว้ต่ำที่ 1.2-2.2% ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตในอัตราต่ำ การใช้กำลังการผลิตไม่เกิน 60% การจ้างงานยังคงพอๆกับปีนี้ เช่นเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวพอๆกับปีนี้ การส่งออกของประเทศมากกว่านำเข้า

ยอดผลิตรถยนต์ในปีหน้าจึงตั้งเป้าเท่ากับปีนี้ที่ 1,450,000 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 950,000 คัน ผลิตขายในประเทศ 500,000 คัน!!!