Honda ประกาศศักดาขับเคลื่อนและเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และอวกาศ พร้อมเปิดตัว Honda 0 α และ รถยนต์ต้นแบบ Super-ONE ขุมพลังไฟฟ้า 100% เป็นครั้งแรกของโลกในงาน Japan Mobility Show 2025
มิสเตอร์โทชิฮิโระ มิเบะ ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บูธของฮอนด้าในงาน Japan Mobility Show 2023 หรือ JMS 2025 ถือเป็นการประกาศศักดาว่า ฮอนด้าเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นในการทำความฝันให้กลายเป็นจริงครั้งแรกในโลก ซึ่งในปีนี้ฮอนด้าได้นำผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่หลากหลายมาจัดแสดง ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ รวมถึงอวกาศ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ทดลองขับขี่และร่วมสัมผัสถึงภาพอนาคตที่ฮอนด้าได้วาดไว้
ทั้งนี้ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับทั้งผลิตภัณฑ์และกิจกรรมองค์กรทั้งหมดภายในปี 2050 แม้ว่าสภาพแวดล้อมของตลาดที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้ายังคงผันผวน แต่ฮอนด้ายังคงเชื่อว่าในระยะยาวแล้วการเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV จะยังคงดำเนินต่อไป ด้วยเหตุนี้ ฮอนด้าจึงเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบรถ EV รุ่นที่น่าดึงดูดใจในยุคใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
เจาะลึก Honda 0 Series รถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ของฮอนด้า
Honda 0 Series เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ที่นำเสนอแนวคิดกลับไปสู่จุดกำเนิดของการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ด้วยการสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV รุ่นใหม่จากศูนย์ด้วยแนวคิดการพัฒนาอันเป็นเอกลักษณ์ก็คือ บาง เบา และชาญฉลาด (Thin, Light, and Wise) ซึ่งท้าทายแนวความคิดเดิมๆ ที่มองว่ารถ EV จะต้องหนาและหนัก
สำหรับยนตรกรรมต้นแบบ Honda 0 Series นี้ประกอบไปด้วยรถยนต์ 3 รุ่นด้วยกันดังนี้
1. Honda 0 Saloon ซึ่งถือเป็น Flagship Model ของ Series นี้ซึ่งมาพร้อมแพลตฟอร์มพื้นที่ต่ำถูกออกแบบมาเพื่อรถ EV โดยเฉพาะ ที่สำคัญโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตและตัวรถที่มีความสูงที่ต่ำ พร้อมพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางเกินคาด เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ภายนอก
2. Honda 0 SUV ถือเป็นรถต้นแบบ SUV ไฟฟ้าขนาดกลาง นับเป็นรุ่นแรกภายใต้ Honda 0 Series ซึ่งเตรียมเปิดตัวสู่ตลาด มาพร้อมความโดดเด่นของห้องโดยสารที่กว้างขวาง มุมมองและทัศนวิสัยที่โปร่งโล่ง และความยืดหยุ่นของพื้นที่ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน โดยพัฒนาภายใต้แนวคิดบาง เบา และชาญฉลาดเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารในสไตล์รถ SUV
3. Honda 0 α หรือ ฮอนด้า ซีโร่ อัลฟ่า ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกที่งาน Japan Mobility Show 2025 ถือเป็น SUV ยุคใหม่ของฮอนด้าที่ผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมในเมืองและธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยการออกแบบตัวรถภายใต้แนวคิด Thin หรือ ความบาง ทำให้ความสูงของตัวรถต่ำ แต่ไม่กระทบต่อความสูงจากพื้นถนน และมีห้องโดยสารที่เพรียวบาง แต่ยังคงมอบพื้นที่กว้างขวาง และสะดวกสบายสำหรับทุกการเดินทาง
ส่วนดีไซน์ภายนอกของฮอนด้า ซีโร่ อัลฟ่า โดดเด่นด้วยรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว ล้ำสมัย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Honda 0 Series ผสานเข้ากับสัดส่วนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ SUV อย่างลงตัว ในบริเวณ screen ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถ โดยด้านหน้า ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่มักจะแยกออกจากกัน
เช่น ไฟหน้า ฝาปิดช่องชาร์จ และโลโก้เรืองแสง จะถูกออกแบบและรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนด้านท้ายจะใช้ชุดไฟรูปตัว U ที่รวมไฟท้าย ไฟถอยหลัง และไฟเลี้ยวเข้าด้วยกัน ช่วยเน้นเส้นสายและรูปทรงบริเวณ screen ด้านท้ายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สะท้อนการออกแบบดีไซน์ที่สวยงามมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันด้วยเช่นกัน
โดยทุกๆ โมเดลใน Honda 0 Series จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ ASIMO OS ซึ่งเป็นระบบ Vehicle OS ที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ ซึ่งภายหลังจากการซื้อรถไปยิ่งลูกค้าใช้งานรถมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้รถยนต์สามารถเรียนรู้พัฒนา เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางเฉพาะบุคคลได้อย่างเหนือระดับ
อย่างไรก็ตามฮอนด้ามีแผนจำหน่าย Honda 0 α ทั่วโลกโดยเน้นที่ตลาดญี่ปุ่นและอินเดียก่อนในปี 2027 โดยเป็นส่วนหนึ่งของไลน์อัป Honda 0 Series ในฐานะ Gateway Model โมเดลที่เป็นประตูสู่โลกของ Honda 0 Series ซึ่งพร้อมมอบคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้าทั่วโลก ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้นจะมีวางจำหน่ายรถยนต์ Honda 0 Series ครบทั้งสามรุ่น ได้แก่ Honda 0 Saloon, Honda 0 SUV และ Honda 0 α ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณวันที่ 31 มีนาคม 2028
เผยโฉม Super-ONE รถ Compact EV ครั้งแรกในโลก
ฮอนด้าได้มีการเผยโฉม Super-ONE ครั้งแรกของโลกภายในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่ง Super-ONE ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด e: Dash BOOSTER ที่ถูกดีไซน์ให้เป็นรถไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น
Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ มาพร้อมแพลตฟอร์มน้ำหนักเบาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถในกลุ่ม N Series มอบการขับขี่ที่คล่องตัวและสปอร์ตอย่างแท้จริง อีกทั้ง ช่วงล่างที่กว้างและระยะฐานล้อที่ขยายออกไป มาพร้อมซุ้มล้อโป่งนูน ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรุ่นนี้ ช่วยให้รถมีเสถียรภาพและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงพลัง เร้าใจในทุกเส้นทาง
นอกจากนี้ Boost Mode ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถมอบสมรรถนะได้อย่างเต็มกำลัง พร้อมผสานการทำงานกับระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด และระบบ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์ที่เฉียบคม เสมือนกำลังขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม
ทั้งนี้ ฮอนด้ามีแผนเปิดตัว Super-ONE รุ่นผลิตจริง ที่พัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ต้นแบบ Super-ONE ในประเทศญี่ปุ่นในปี 2026 เป็นต้นไป ตามด้วยภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีความต้องการต่อรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด เช่น สหราชอาณาจักร และประเทศต่าง ๆ ในเอเชียอีกด้วย
นอกจากนี้ฮอนด้ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและยกระดับ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems - ADAS) เมื่อผู้ขับขี่ตั้งค่าจุดหมายปลายทางผ่านระบบนำทาง ระบบ ADAS จะเข้ามาช่วยควบคุมการขับขี่ ทั้งการเร่งความเร็วและการบังคับพวงมาลัย เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกอุ่นใจ ราวกับมีผู้ขับที่มีประสบการณ์ช่วยควบคุมการขับขี่อยู่ ช่วยเพิ่มความมั่นใจแม้บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และลดภาระในการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน ฮอนด้ากำลังดำเนินการทดสอบระบบ ADAS รุ่นใหม่บนถนนสาธารณะในประเทศสหรัฐอเมริกา และการพัฒนาก็กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าที่จะเริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จริงตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ทั้งในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริด เพื่อส่งมอบคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้าจำนวนมากขึ้น ผ่านประสบการณ์การขับขี่ที่มอบอิสระแห่งการเดินทางอย่างแท้จริง
ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่ครั้งแรกของโลกจากฮอนด้า
1. แพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวออกแบบโดยคำนึงถึงความแข็งแรงของตัวถัง น้ำหนักโดยรวมของตัวรถ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังและนำวิธีการออกแบบทางวิศวกรรมรูปแบบใหม่มาใช้ ซึ่งน้ำหนักแพลตฟอร์มของรถไฮบริด จะลดลงถึง 90 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรุ่นปัจจุบัน ทั้งนี้ทำให้รถ EV รุ่นใหม่จะมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่สปอร์ตและสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น
สำหรับแนวคิดการออกแบบที่แบ่งระบบหรือผลิตภัณฑ์ออกเป็นโมดูล จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกันได้หลายรุ่น โดยแยกชิ้นส่วนเป็นโมดูลที่ใช้ร่วมกันได้ เช่น ห้องเครื่องยนต์และโครงสร้างใต้ท้องรถส่วนหลัง และโมดูลเฉพาะส่วน เช่น ห้องโดยสารด้านหลัง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนารถรุ่นใหม่ ฮอนด้าตั้งเป้าให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้มากกว่า 60% ในทุกรุ่นที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรถยนต์และความหลากหลายของรุ่นรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพทั้งในด้านการพัฒนาและการผลิตให้เพิ่มขึ้น
จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ฮอนด้าได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ขับควบคุมรถได้ตามต้องการมาใช้ เช่น ระบบ Motion Management ที่ต่อยอดองค์ความรู้และต้นแบบด้านการควบคุมท่าทาง การพัฒนาหุ่นยนต์เทคโนโลยีต้นแบบ
นอกจากนี้ ยังเพิ่มเทคโนโลยี Pitch Control เข้าไปในระบบ Agile Handling Assist ซึ่งเป็นระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้รถมีพฤติกรรมการเข้าโค้งที่ราบรื่น ซึ่งได้ถูกติดตั้งแล้วใน Accord และ Prelude เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำในทุกสถานการณ์ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสภาพถนน โดยฮอนด้ามีแผนเริ่มนำแพลตฟอร์มใหม่นี้มาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2027 เป็นต้นไป
แพลตฟอร์มขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่
2. เทคโนโลยีระบบไฮบริด-ไฟฟ้า หรือ Hybrid-Electric System สำหรับรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่รุ่นใหม่ ที่มีแผนเปิดตัวในอเมริกาเหนือช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020 โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด หรือ HEV เจเนอเรชันใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ให้เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่จะมีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่รถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ระบบไฮบริดรุ่นใหม่ จะมาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ทรงพลังและความสามารถในการลากจูงสูง (High Towing Capability) ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-segment ขึ้นไป
ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาอัตราการประหยัดน้ำมันของรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่เจเนอเรชันใหม่ให้ดีขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ฮอนด้าจะผสานเครื่องยนต์ V6 รุ่นใหม่ ที่พัฒนาในเรื่องความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น เข้ากับชุดขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชันใหม่ พร้อมทั้งนำระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะรุ่นใหม่มาใช้ เพื่อปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสมรรถนะด้านอัตราเร่งและการเร่งความเร็วเมื่อเหยียบคันเร่งแบบเต็มกำลังให้ดีขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และชุดขับเคลื่อนแต่ละส่วน รวมถึงการใช้พลังงานเสริมจากแบตเตอรี่อีกด้วย
Super-ONE Prototype
3. เทคโนโลยีไดนามิกที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า Compact รุ่นผลิตจริง โดยอ้างอิงจาก Super-ONE Prototype ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่ง Super-ONE Prototype แพลตฟอร์มน้ำหนักเบาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถในกลุ่ม Honda N Series โดยมีการขยายความกว้างของตัวรถด้วยการใช้พื้นฐานโครงสร้างแชสซีส์ที่มีการขยายระยะห่างระหว่างล้อและซุ้มล้อมาใช้ นอกจากนี้ ยังรวมตำแหน่งของชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากให้อยู่ในจุดเดียว และลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่แบบบาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักของรถ EV ไว้ที่ศูนย์กลางใต้ท้องรถ
ด้วยวิธีการนี้ รถต้นแบบ Super-ONE จึงมีน้ำหนักเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ EV ในระดับ A-segment และมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปขนาด Compact ทั่วไป ซึ่งจากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้รถต้นแบบ Super-ONE มีการตอบสนองต่อการควบคุมของผู้ขับได้อย่างฉับไว และมอบการควบคุมที่สมดุลและมั่นคงแม้ในขณะเข้าโค้ง โดยให้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ และมั่นใจตลอดการขับขี่
รถรุ่นผลิตจริงที่พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Super-ONE จะมาพร้อมกับฟังก์ชัน Boost Mode ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถมอบสมรรถนะได้อย่างเต็มกำลัง พร้อมผสานการทำงานกับระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด และระบบ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและให้ความรู้สึกการเปลี่ยนเกียร์ที่เฉียบคม เสมือนกำลังขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม
แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับไฮบริดเจเนอเรชันใหม่
ส่วนระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด จะมีการคำนวณความเร็วรอบเครื่องยนต์จำลองและตำแหน่งเกียร์แบบเรียลไทม์ โดยอิงจากการควบคุมของผู้ขับ เช่น การเหยียบคันเร่ง สภาพการขับขี่ ความเร็วของรถ รวมถึงพฤติกรรมของรถขณะเข้าโค้ง ด้วยการควบคุมกำลังการขับขี่และการตอบสนองอย่างเหมาะสม ผู้ขับจึงสามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ พร้อมกับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ
นอกจากนี้ ระบบเกียร์จำลอง 7 สปีด ยังจำลองแรงกระชากจากการคิกดาวน์ หรือ Kickdown ขณะเร่งความเร็ว และจำลองพฤติกรรมของรถขณะเกิด fuel cut ซึ่งเป็นการตัดการจ่ายเชื้อเพลิงชั่วคราวเพื่อปกป้องเครื่องยนต์และควบคุมรอบเครื่องให้เหมาะสม ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ฮอนด้าจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์และเอกลักษณ์การขับขี่ที่มุ่งมั่นพัฒนามาตลอดหลายปีในยุครถสันดาป เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะเดียวกันภายในงาน JMS 2025 ยังมีการจัดแสดงยนตรกรรมต้นแบบ Acura RSX รถ EX เจเนอเรชันใหม่ของแบรนด์ Acura เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรถ EV เจเนอเรชันใหม่ของ Acura โดยยนตรกรรมต้นแบบ Acura RSX เป็นโมเดลรุ่นแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม EV เจเนอเรชันใหม่ที่พัฒนาโดยฮอนด้า พร้อมระบบปฏิบัติการ ASIMO OS ซึ่งเป็นระบบ Vehicle OS ที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ ที่ช่วยให้รถยนต์สามารถเรียนรู้ พัฒนาจากพฤติกรรมการใช้งานของผู้ขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางเฉพาะบุคคลได้อย่างเหนือระดับ
รวมถึงการเผยโฉมของ Prelude รุ่นใหม่ รถสปอร์ตพิเศษที่พัฒนาโดยผสานขุมพลังเครื่องยนต์และเทคโนโลยีที่ฮอนด้าสั่งสมมาอย่างยาวนาน ถ่ายทอด ความสนุกในการขับขี่ สู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนา Prelude รุ่นใหม่นี้เริ่มต้นจากความตั้งใจ ในการสร้างรถสปอร์ตที่สะท้อนตัวตนของฮอนด้าในยุคปัจจุบัน และได้รับการออกแบบจนกลายเป็นรถรุ่นที่ฮอนด้าพร้อมนำเสนอด้วยความภาคภูมิใจ
ทั้งนี้บูธของฮอนด้าในงาน Japan Mobility Show 2025 เป็นการประกาศศักดาและความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านการขับเคลื่อนแห่งอนาคตอย่างชัดเจน รวมถึงการโชว์นวัตกรรมและรถยนต์แห่งอนาคตครั้งแรกในโลก ที่สำคัญไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์สันดาปหรือไฮบริด แต่ยังรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย พลังงานไฮโดรเจน ไปจนถึงการสำรวจอวกาศและอากาศยาน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของฮอนด้าในการตอบโจทย์การเดินทางที่หลากหลายและความยั่งยืน ดั่งสโลแกนของฮอนด้าที่ว่า The Power of Dreams