วันที่ 12 มิถุนายน เครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์ เที่ยวบิน 171 ของแอร์อินเดีย ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติซาร์ดาร์ วัลลับไบ ปาเตล เมืองอาห์เมดาบัด เวลา 13:39 น. มุ่งหน้าสู่สนามบินลอนดอนแกตวิค ภายใน 32 วินาทีหลังเครื่องขึ้นบิน เครื่อง 787 ใหม่เอี่ยมได้พุ่งชนหอพักแพทย์ใกล้สนามบิน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 241 ราย จากผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 242 คน และคนบนพื้นดิน 19 คน ต้องเสียชีวิตไปกับอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงนี้ โดยมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวเป็นชายเชื้อสายอังกฤษ-อินเดีย ที่นั่งแถว 11A นี่เป็นอุบัติเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 787 ตกครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2554
รายงานการสอบสวนของสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุอากาศยาน (AAIB) ได้รับการเผยแพร่เมื่อคืนที่ผ่านมา (11 กค. 2568) รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้หลายประการ โดยยังมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเที่ยวบินที่ประสบเหตุจากข้อมูลที่ตรวจพบจากซากกล่องดำ (เครื่องบันทึกการบินทางอากาศขั้นสูง Enhanced Airborne Flight Recorder: EAFR) ของเครื่องบิน ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า กล่องดำ
...
เที่ยวบินที่ 171 ได้ขึ้นบินตามปกติ เครื่อง 787 ดรีมไลเนอร์ เร่งความเร็วขึ้นถึง 153 นอต หรือประมาณ 283 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นนักบินจึงทำการเร่งความเร็วสูงสุดที่ 180 นอต หรือประมาณ 333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องตามที่คาดไว้ การตั้งค่าแฟลปถูกบันทึกไว้ที่ห้าองศา และคันโยกล้อลงจอดยังคงอยู่ในตำแหน่ง "ลง" ซึ่งเป็นขั้นตอนการบินขึ้นมาตรฐาน
สภาพอากาศไม่เป็นอุปสรรค ท้องฟ้าแจ่มใส ทัศนวิสัยดี และลมเบา ภายในไม่กี่วินาที สวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ 1 และเครื่องยนต์ 2 ก็เปลี่ยนจากตำแหน่ง "RUN" เป็น "CUTOFF" ภายในช่วงเวลาหนึ่งวินาที NDTV ซึ่งเป็นข้อมูลจากกล่องดำหรือกล่องบันทึกข้อมูลทางการบิน ตรวจพบว่า เครื่องยนต์ดับลงหลังจากสวิชท์เชื้อเพลิงถูกปิด ทำให้เชื้อเพลิงไม่สามารถส่งไปที่เครื่องยนต์ซึ่งกำลังอยู่ในสถานะเร่งเต็มกำลังได้
นี่คือรายงานการสอบสวนโดยสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุอากาศยาน (AAIB) ซึ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อคืนที่ผ่านมา การปิดสวิชท์เชื้อเพลิงในขณะที่กำลังบินขึ้นนั้น อาจเป็นความเข้าใจผิดของนักบิน หรือปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนักบินกันแน่?
สวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงบนเครื่องบินโบอิ้ง 787 ไม่ใช่สวิตช์ธรรมดาทั่วไป เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้เครื่อง 787 บินอยู่ในอากาศ สวิตช์แต่ละอัน มีรางป้องกันการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ ในการย้ายสวิตช์จาก "RUN" (เดินหน้า) ไปยัง "CUTOFF" (ปิด) นักบินต้องยกและเลื่อนสวิตช์ลง การออกแบบในลักษณะดังกล่าวนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการไปสัมผัสเข้ากับสวิชท์ที่มีความสำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น มือไปโดนสวิตช์ระหว่างการบินสวิตช์สำหรับเครื่องยนต์ 1 และเครื่องยนต์ 2 มีระยะห่างกันประมาณสองถึงสามนิ้ว ทำให้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทั้งสองจะเคลื่อนที่พร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
...
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลยืนยันว่าทั้งสองเปลี่ยนเป็น "CUTOFF" ภายในหนึ่งวินาที!การตอบสนองของนักบินเมื่อแรงขับลดลง ความสูงของเครื่อง 787 ก็เริ่มลดลง กล่องดำบ่งชี้ว่า นักบินได้พยายามโยกสวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงทั้งสองกลับไปที่ตำแหน่ง "RUN" การกระทำดังกล่าว ดำเนินการประมาณ 10 วินาทีหลังจากการตัดสวิชท์เชื้อเพลิงครั้งแรก เพื่อทำให้การไหลของเชื้อเพลิงกลับมาทำงานปกติและสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ อีกครั้งเครื่องยนต์ 1 ตอบสนองทันที การลดความเร็วแกนกลางหยุดลง โดยมีระดับแรงขับที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์ 2 ก็ติดขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ความเร็วแกนกลางยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความพยายามหลายครั้งในการโยกสวิชท์เชื้อเพลิงและเร่งการฟื้นตัวของกำลังเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน คันโยกแรงขับซึ่งพบอยู่ในตำแหน่งใกล้จะเดินเบา ในซากเครื่องบินยังคงอยู่ด้านหน้าจนกระทั่งเกิดการชน ตามข้อมูลจากเครื่องบันทึกข้อมูลการบิน (FDR)
...
ในเวลาเดียวกันเมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงาน (จากเชื้อเพลิงที่ไม่สามารถส่งไปถึงเครื่องยนต์) ใบพัดขนาดเล็ก ที่เรียกว่า แรมแอร์เทอร์ไบน์ (RAT) กางออกทันทีโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่เครื่องยนต์ทั้งสองตัวขัดข้อง RTA ยื่นออกมาจากลำตัวเครื่องบินขณะขึ้นบิน ภาพจากกล้องวงจรปิดจากสนามบินบันทึกภาพการทำงานของอุปกรณ์ปั่นไฟขนาดเล็กนี้ไว้ได้RAT ให้พลังงานสำรองเพื่อพยุงระบบสำคัญๆ แต่ไม่สามารถสร้างแรงขับได้ เนื่องจากเครื่องบินอยู่สูงจากพื้นดินเพียงไม่กี่ร้อยฟุต ความเร็วก็ต่ำมากจนใบพัดของ RAT ไม่สามารถกินลม และทำงานเต็มกำลังในการสตาร์ทเพื่อกู้คืนเครื่องยนต์ให้กลับมาติดอีกครั้ง เวลา 13:39:32 น. เที่ยวบิน 171 พุ่งชนอาคารที่พัก ทำให้เกิดลูกไฟลุกท่วมอาคาร
...
อธิบายการทำงานของ Ram Air Turbine หรือ RAT
คือลูกสูบไฮดรอลิคที่ทำงานด้วยแรงหมุนจากใบพัดในขณะที่กระแสลมไหลผ่านและติดตั้งอยู่ในตำแหน่งใต้ท้องเครื่อง การทำงานของแกนใบพัดในระบบ Ram Air Turbine จะเริ่มกางออกทันทีที่เครื่องยนต์หยุดทำงานในระหว่างที่กำลังทำการบินเพื่อช่วยให้ระบบไฮดรอลิคในบางส่วนที่สำคัญยังคงทำงานต่อไป และมีกำลังเพียงพอที่จะขยับส่วนพื้นผิวบังคับที่สำคัญในการควบคุมท่าทางการบิน เพื่อให้เครื่องบินยังคงสามารถบินร่อนต่อไปได้แม้จะไม่มีกำลังจากเครื่องยนต์ ใบพัดขนาดเล็กที่ติดอยู่กับแกนใต้ท้องเครื่อง Boeing 787 ทำงานด้วยการหมุนจากกระแสลมที่เข้ามาปะทะกับใบพัดขนาดเล็ก เพื่อปั่นกระแสไฟและจ่ายให้กับระบบไฮดรอลิคที่สำคัญในการบังคับควบคุมทิศทางและความสูง
Ram Air Turbine เป็นอุปรณ์ช่วยเหลือด่านสุดท้ายของเครื่องบินขณะที่เครื่องยนต์หยุดทำงานทั้งหมด ประเด็นสำคัญรายงานเบื้องต้นของ AAIB ซึ่งมีความยาวหลายสิบหน้า ได้รวบรวมข้อมูลจากกล่องดำที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยกล่องหนึ่งอยู่ด้านหน้า และอีกกล่องอยู่ด้านหลัง อุปกรณ์บันทึกข้อมูลของเครื่อง ได้รับการออกแบบให้ทนทานต่ออุณหภูมิและแรงกระแทกที่รุนแรงหลายร้อย G มีชิปหน่วยความจำที่บันทึกข้อมูลการบิน คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ของสหรัฐอเมริกา ได้จัดหาอุปกรณ์พิเศษเพื่อกู้คืนข้อมูลจากกล่องที่ถูกไฟไหม้จนเสียหายยับเยินการสืบสวนมุ่งเน้นไปที่สวิตช์ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีทฤษฎีหลักสามประการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
การกระทำของมนุษย์: นักบินคนใดคนหนึ่งจงใจหรือไม่ได้ตั้งใจขยับสวิตช์หรือไม่?
ไม่มีนักบินที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจะทำเรื่องแบบนั้น
สวิตช์เหล่านี้ต้องใช้ความพยายาม หรือความตั้งใจ จงใจ ในการยกและเลื่อนผ่านขอบกั้นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ไม่ใช่สวิตช์ไฟที่เผลอเปิดหรือปิดโดยไม่ตั้งใจ” กัปตัน Saurabh Bhatnagar อดีตผู้บังคับการอาวุโสของ Air India Express กล่าวกับ NDTV
ความล้มเหลวทางกลไก: ข้อบกพร่องอาจทำให้สวิตช์เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระหรือไม่? ปัจจัยจากภายนอก: การไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงอาจหยุดลง แม้ว่าสวิตช์จะยังคงอยู่ในสถานะ "RUN" ก็ตาม? รายงานไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ถึงเรื่องนี้ AAIB ตัดปัจจัยอื่นๆ ออกไป โดยไม่พบฝูงนกอยู่ในรัสมีของการบินขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีการชนนก
Auxiliary Power Unit (APU) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เจ็ทขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง กำลังทำงานและพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดอีกครั้งด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยทำให้เครื่องยนต์กลับมาติดและทำงานต่อไป แต่ระยะสูงที่ไม่เหลือให้แก้ใขอะไรได้เลย ทำให้เครื่อง 787 เข้าตาจน และชนปะทะเข้ากับตัวอาคารอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือ รายงานระบุว่า "ยังไม่มีหลักฐานที่จะบ่งชี้ว่าสาเหตุการตกของแอร์อินเดียคือการก่อวินาศกรรม"
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/