สำหรับคนรักการเดินทาง หรือสายขับขี่ ‘รถยนต์’ คือเพื่อนคู่ใจที่จะพาเราเดินทางไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะลุยฝน ขึ้นเขา หรือวิ่งทางไกล แต่สิ่งที่หลายคนมักละเลยคือ ยางรถยนต์ องค์ประกอบสำคัญที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรง คิดว่าเพียงแค่รถยังเคลื่อนที่ไปได้ แม้ยางจะอ่อนหรือจะแข็งไปเล็กน้อย ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ทราบหรือไม่ว่า หากปล่อยให้ยางเสื่อมสภาพ ไม่ซ่อมบำรุง หรือปรับเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาเหมาะสมนั้น นอกจากจะทำให้รถขับได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วย! แล้วเราควรเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อไหร่? บทความนี้มีคำตอบ พร้อมวิธีดูแลเพื่อให้ยางใช้งานได้นานที่สุด!
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่า “ถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์แล้ว”
ยางใช้งานเกินอายุ หรือวิ่งมาเกิน 30,000 กิโลเมตร
โดยทั่วไป อายุของยางรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3 ปี หรือราว 30,000 – 50,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากเลยระยะนี้แม้ดอกยางยังดูดี ก็ควรตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพราะโครงสร้างยางอาจเสื่อมสภาพจากภายใน
แก้มยางแตกลายงา
หากสังเกตเห็นรอยแตกเล็ก ๆ ตามขอบยางหรือแก้มยาง แสดงว่ายางเริ่มเสื่อมสภาพ อาจเกิดจากแสงแดด ความร้อน หรือสารเคมีในอากาศ ยิ่งรอยลึกหรือแผ่กว้าง ยิ่งอันตรายและควรรีบเปลี่ยนทันที
ยางบวม มีตุ่มนูนผิดรูป
ยางที่บวมแสดงว่าโครงสร้างภายในฉีกขาดหรือแยกตัว ซึ่งอาจเกิดจากการกระแทกแรง ๆ เช่น ขับตกหลุม หรือปีนขอบฟุตบาท หากยังฝืนใช้อาจทำให้ยางรถยนต์ระเบิดขณะขับขี่ได้
ดอกยางสึกจนถึงสะพานยาง
ดอกยางที่สึกจนแบนราบ หรือต่ำกว่า 1.6 มม. เป็นสัญญาณว่ายางไม่สามารถรีดน้ำหรือเกาะถนนได้ดี โดยเฉพาะเวลาเจอถนนลื่น ควรสังเกตที่สะพานยาง ซึ่งเป็นขอบยางที่บอกระดับ หากดอกยางอยู่ในระดับเดียวกับสะพานยางควรเปลี่ยนทันที
เนื้อยางแข็งกระด้าง
ยางที่ดีควรมีความยืดหยุ่น หากลองใช้นิ้วกดแล้วยางแข็ง ไม่ยุบ หรือขีดด้วยเล็บแล้วไม่เป็นรอย แสดงว่ายางเริ่มหมดอายุ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น
รถลื่นไถลหรือสั่นผิดปกติ
หากรู้สึกว่าควบคุมรถยาก หรือรถลื่นง่ายเวลาฝนตก นั่นอาจเกิดจากยางรถยนต์เสื่อมสภาพ ซึ่งทำให้สูญเสียการยึดเกาะ และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว
ความเสี่ยงจากการใช้ยางหมดอายุ
การใช้ยางรถยนต์ที่หมดอายุแม้ภายนอกจะดูปกติ แต่อาจซ่อนความเสี่ยงร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม เช่น เสี่ยงยางระเบิดขณะขับรถด้วยความเร็ว โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง นอกจากนี้ ยางที่เสื่อมสภาพยังทำให้เบรกไม่อยู่ เพิ่มระยะเบรก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการชนท้ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งยังควบคุมรถได้ยากขึ้น โดยเฉพาะบนถนนลื่นหรือลาดชัน ที่สำคัญ ยางเสื่อมจะเพิ่มแรงเสียดทาน ทำให้รถเปลืองน้ำมันมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนอื่น ๆ ของรถ เช่น ระบบช่วงล่างและโช้กอัป ทำให้เกิดความเสียหายและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในระยะยาว
วิธีดูแลและยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์
เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางหมดอายุได้ แต่การดูแลยางรถยนต์อย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้มาก เทคนิคต่อไปนี้คือสิ่งง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง อยากถนอมยางให้ใช้ได้นาน ๆ ลองดูแลยางรถยนต์ตามนี้ได้เลย
ตรวจเช็กแรงดันลมเดือนละครั้ง
แรงดันลมในยางมีผลโดยตรงต่อการสึกหรอและความปลอดภัยในการขับขี่ หากแรงดันลมต่ำเกินไป ยางจะสัมผัสพื้นถนนมากกว่าปกติ ทำให้เกิดความร้อนสะสม เสี่ยงต่อการระเบิด หรือสึกตรงขอบยางเร็วขึ้น ส่วนถ้าเติมลมมากเกินไป หน้ายางจะพองจนสัมผัสถนนน้อยลง ทำให้การเกาะถนนลดลง และอาจเกิดอาการลื่นไถลเมื่อเบรกกะทันหัน ดังนั้นควรตรวจเช็กลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง และเติมให้ตรงตามค่าที่ระบุในคู่มือรถ ซึ่งควรทำขณะยางยังเย็น เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำที่สุดนั่นเอง
ขับขี่อย่างนุ่มนวล
พฤติกรรมการขับขี่มีผลต่ออายุการใช้งานของยางอย่างมาก การเบรกกะทันหัน การเร่งเครื่องอย่างรุนแรง หรือการเลี้ยวหักศอก ล้วนทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ หากขับรถอย่างนุ่มนวล รักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ และเว้นระยะเบรกให้เพียงพอ จะช่วยถนอมยางและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง
สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร
ยางรถยนต์แต่ละเส้นรับภาระและแรงสึกหรอไม่เท่ากัน โดยเฉพาะล้อหน้าที่ทำหน้าที่บังคับทิศทางและรับน้ำหนักจากเครื่องยนต์ ทำให้สึกเร็วกว่าล้อหลัง หากไม่สลับยางเป็นระยะ อาจทำให้บางเส้นหมดก่อน และจำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุดเร็วกว่าที่ควร การสลับยางทุก 8,000–10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน จะช่วยให้ยางทุกเส้นสึกเท่า ๆ กัน และสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น
หลีกเลี่ยงการบรรทุกน้ำหนักเกิน
ยางรถยนต์ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ หากบรรทุกของหนักเกิน ยางจะต้องรับแรงกดทับมากเกินไป ทำให้เสี่ยงต่อการบวม แตก หรือระเบิดระหว่างใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ช่วงล่างของรถเสียหาย และกินน้ำมันมากขึ้น ควรตรวจสอบพิกัดน้ำหนักที่รถรับได้จากคู่มือหรือสติกเกอร์ที่อยู่ในรถ และไม่ควรฝืนบรรทุกเกินกว่าที่กำหนด
ยางรถยนต์อาจดูเป็นส่วนเล็ก ๆ ของรถ แต่มีบทบาทใหญ่ในการรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการขับขี่ หากมีสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยน ไม่ควรชะล่าใจ เพราะการเปลี่ยนยางในเวลาที่เหมาะสมไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และยืดอายุการใช้งานของรถไปพร้อมกัน