กระแสเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าลุกลามไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่พี่ไทยซึ่งเพิ่งจะมีการประกาศลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบในประเทศไปสดๆ ร้อนๆ ความนิยมที่พุ่งสูงตามด้วยยอดขายที่พอไปได้ของรถยนต์ไฟฟ้า มีตัวเร่งปฏิกิริยาจากราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานจนยันเพดาน การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย คุณไม่ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงแพงๆ อีกต่อไปโดยอาศัยการชาร์จไฟจากในบ้านที่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าไฟถูกกว่าค่าน้ำมัน 3-4 เท่าตัว แต่รถไฟฟ้าในยุคแรกผู้ซื้อก็เหมือนกับหนูลองยา ความเสถียรจากการใช้งานและความสะดวกสบายด้านการทำระยะทางยังคงเป็นปัญหาที่รอความสมบูรณ์แบบให้มากกว่าเดิม รถที่ใช้เครื่องยนต์ดูจะได้เปรียบกว่าในด้านความสะดวกของการเติมเชื้อเพลิงและการทำระยะทางต่อน้ำมันหนึ่งถัง โดยเฉพาะรถยนต์ดีเซลและไฮบริด แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนกันจริงๆ ก็ควรจะให้รถยนต์ไฟฟ้า 100% เป็นรถคันที่สองของครอบครัว มากกว่าจะมีแค่คันเดียวแล้วก็เป็นรถที่ต้องเสียบชาร์จไฟและไปไม่ได้ไกลเท่ากับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง 

...

เมื่อคิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้วชาร์จที่บ้านเป็นหลัก สิ่งแรกที่จะต้องดูก็คือ ระบบไฟฟ้าในบ้าน ถ้ามิเตอร์และสายไฟที่ใช้ภายในบ้านมีขนาดเล็กเกินไป การชาร์จรถไฟฟ้าที่กินไฟพอๆ กับแอร์เครื่องหนึ่งแต่สายไฟที่เล็กอาจก่อให้เกิดปัญหาเพลิงไหม้ได้ 

ตรวจสอบขนาดของมิเตอร์ไฟภายในบ้าน ปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไป มีขนาด 15(45) 1 เฟส (1P) หมายถึงมิเตอร์ขนาด 15 แอมป์ (A) ใช้ไฟได้ 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ทางการไฟฟ้าแนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30 (100) โดยปรับให้มิเตอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป ระบบไฟเป็น 3 เฟสจำเป็นหรือไม่ ถ้าบ้านหลังใหญ่ ใช้ไฟเยอะ มีเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากก็มีความจำเป็น แต่โดยทั่วไปแล้วบ้านหลังเล็กๆไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟแบบ 3 เฟสที่มีราคาสูง เนื่องจากใช้ไฟไม่มาก มีเครื่องปรับอากาศแค่ 1-2 เครื่อง รวมถึงมีเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ไม่กินกระแสไฟ แตกต่างไปจากบ้านหลังใหญ่ที่มีเครื่องปรับอากาศจำนวนมากและมีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากกว่าบ้านหลังเล็กๆ 

อย่างแรกเลยหลังจากเปลี่ยนมิเตอร์ไปเป็นแบบ 30 (100) แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ต้องเปลี่ยนสายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) : สำหรับสาย Main ของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. เปลี่ยนลูกเซอร์กิต(MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่แต่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100 (A) การปรับเปลี่ยนต้องทำโดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องสอดคล้องกัน

...

ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) : ตรวจสอบภายในตู้เมนเบรกเกอร์ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker หรือเปล่า เนื่องจากการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีการแยกสายเฉพาะส่วน โดยแยกใช้งานจากเครื่องไฟฟ้าภายในบ้าน ถ้าไม่มีช่องว่าง ยังก็ต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด แยกออกจากเมนเบรกเกอร์ 

เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) : เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเพิ่ม

...

เต้ารับ (EV Socket) : สำหรับการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) สามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) รูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถยนต์แต่ละรุ่น

...

การชาร์จไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้า

1 ชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)
การชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง มิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30 (100) A เต้ารับต้องทำการติดตั้งใหม่ เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชั่วโมง

2 ชาร์จเร็ว (Double Speed Charge) 
เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชั่วโมง

3 ชาร์จแบบเร่งด่วน (Quick Charge)
เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วจากความร้อนขณะทำการอัดประจุ 

ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนั้นๆ นั่นก็คือ ความสามารถของตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ตัวเครื่องชาร์จมีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายระดับราคา เริ่มจาก 15,000 บาท ไปจนถึง 100,000 บาทหรือมากกว่านั้น 

สมมติว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 6.6 kW/h โดยมีขนาดแบตเตอรี่เต็ม 40 kW ใช้เวลาชาร์จจนเต็มประมาณ 6 ชั่วโมง แท่นชาร์จ EV Charger ขนาด 3.7 kW ต้องใช้เวลาชาร์จนานถึง 11 ชั่วโมง ในทางกลับกันหากเลือกเครื่องชาร์จขนาด 11 kW หรือ 22 kW เครื่องชาร์จก็จะลดขนาดไฟลงมาอัตโนมัติให้เหลือเพียงขนาดที่รถสามารถรับไฟได้คือ 6.6kW หมายความว่าแม้เราจะซื้อเครื่องขนาดใหญ่ แต่ถ้า On Board Charger ของตัวรถยนต์ไม่สามารถรับได้ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะตัวรถรับได้แค่นี้ ดังนั้น เครื่องชาร์จที่เหมาะสมคือ 7.4 kW 

ยกตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จสูงสุดที่ 7.4 kW แบตเตอรี่จุได้ 60 kW หรือระยะทางขับขี่ประมาณ 350 กิโลเมตร พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเวลา 1 ชม. เก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 7.4 kW โดยถ้าต้องจุให้เต็ม 60 kW ต้องใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมง

สมมติว่าไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kW ที่ 4 บาท/หน่วย
– ชาร์จไฟ 1 ชั่วโมง มีค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 1 = 29.6 บาท
– ชาร์จไฟ 2 ชั่วโมง มีค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 2 = 59.2 บาท
– ชาร์จไฟ 8 ชั่วโมง มีค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 8 = 236.8 บาท

เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 80-100% จะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าไฟ 236.8 บาท วิ่งได้ระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 1.4 บาท ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ประมาณ 3-5 บาท ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร ประหยัดไปหลายเท่าตัวอยู่เหมือนกัน 

รถยนต์ไฟฟ้าราคา 1 ล้านบาท ก่อนซื้อ ควรดูว่าแบตเตอรี่ของรถรุ่นนั้นมีความจุเท่าไร ถ้าแจ้งมาว่าทำระยะทางได้ 370 กิโลเมตร ก็หักออกไปได้เลย 20% การทำระยะทางที่แท้จริงจะอยู่ที่ 340 กิโลเมตร ตรวจดูสเปก On Board ของรถว่ารับพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดเท่าไร? การรับพลังงานไฟฟ้าได้มาก มีผลกับความเร็วในการชาร์จ ทำให้เสียเวลาในการชาร์จไม่มาก แต่ก็จะมีค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการอัดประจุไฟได้เร็วกว่า ส่วนใหญ่ On Board ที่มีประสิทธิภาพสูงมากจะอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าราคาแพง.



ขอบคุณข้อมูลจากhttps://thinkofliving.com

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/