ปรับโฉมเพิ่มเติมความสดใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง นี่คือยนตกรรมขับเคลื่อน 4 ล้อสัญชาติอเมริกันที่ใช้ภาพลักษณ์ของรถลุยจากทวีปยุโรป New Captiva Minor Change 2011...
นับตั้งแต่เชฟโรเลต เปิดตัวรถอเนกประสงค์เอสยูวี (Sport Utility Vehicle) รุ่นแรกของโลกในชื่อ ซับเบอร์แบน (Suburban) เมื่อกว่า 76 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปีค.ศ. 1935 เชฟโรเลตก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกยานยนต์ประเภทนี้เป็นเจ้าแรกของโลกยนตกรรม พร้อมกับเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงเวอร์ชั่นล่าสุดของรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างเชฟ โรเลต แคปติวาในสหรัฐอเมริกา มีการผลิตรถซับเบอร์แบนรุ่นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีเมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้เทคโนโลยีจะเทียบกันไม่ได้กับซับเบอร์แบนรุ่นบุกเบิก ซึ่งวิทยุ ระบบทำความร้อน และกันชนหลัง ยังเป็นแค่อุปกรณ์เสริม แต่รถเอสยูวีในสมัยนั้นกับสมัยนี้ มีความโดดเด่นไม่ต่างกันคือ ความอเนกประสงค์ในการบรรทุกผู้โดยสาร และสัมภาระ โดยซับเบอร์แบนรุ่นแรกเริ่มมี 8 ที่นั่งและสามารถถอดที่นั่งออกได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุก วัตถุประสงค์ในการใช้งานไม่ต่างจากรถอเนกประสงค์ในปัจจุบัน
...
ด้วยพื้นที่กว้างขวางที่สามารถขนผู้โดยสารพร้อมสัมภาระได้ทั้งครอบครัว รถอเนกประสงค์รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของเชฟโรเลต และของโลก จึงมีชื่อต่อท้ายว่า แครี่ออล (Suburban Carryall) โดยเชฟโรเลต ใช้แชสซีส์ของรถกระบะและเฟรมขวางแบบขั้นบันได (ladder frame) แต่แทนที่จะประกอบแชสซีส์เข้ากับตัวถังของรถกระบะ เชฟโรเลตกลับเลือกใช้ห้องโดยสารของรถยนต์นั่งขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่ รองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 แถว 8 ที่นั่ง นับเป็นการบุกเบิกความยืดหยุ่นในการใช้งานห้องโดยสารเป็นครั้งแรกในโลกยาน ยนต์ และถูกถ่ายทอดต่อเนื่องมาถึงเชฟโรเลต และรถทุกรุ่นในเครือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ในปัจจุบัน ประตูท้ายของเชฟโรเลต ซับเบอร์แบน รุ่นแรกสามารถพับแยกส่วนได้ ซึ่งถูกถ่ายทอดมาถึงเชฟโรเลตแคปติวา ที่สามารเปิดกระจกที่ฝาท้ายโดยไม่ต้องเปิดประตู ซับเบอร์แบน ปี 1935 ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ สโตฟโบลต์ (Stovebolt) พละกำลังสูงสุด 60 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคาจำหน่ายในขณะนั้นอยู่ที่ 676 เหรียญสหรัฐฯ (20,250 บาท - เทียบได้กับ 11,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 330,000 บาท ในปัจจุบัน)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ซับเบอร์แบนได้รับความนิยมอย่างมาก และถือเป็นรถประจำครอบครัวชาวอเมริกันอย่างแท้จริง มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้เบรกไฮโดรลิก โคมไฟหน้าแบบซีลบีม (Sealed beam) ตัวถังภายนอกถูกออกแบบสไตล์อาร์ต เดโค (Art Deco) อันโด่งดังในยุคนั้น ตลอดจนเครื่องยนต์วี8 ระบบเกียร์อัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบปรับอากาศที่ติดตั้งจากโรงงาน ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ กระจกบังลมหน้าแบบลามิเนต พวงมาลัยพร้อมระบบผ่อนแรง ระบบเบรกแบบลูกสูบคู่ และยางแบบทูบเลส (Tubeless)
...
มาถึงช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ซับเบอร์แบนได้รับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยเฉพาะการแนะนำตัวถังแบบ 4 ประตูเป็นครั้งแรก ตามมาด้วยเทคโนโลยีที่ยังมีใช้ถึงในปัจจุบัน อย่างเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ขณะที่ในปี 1998 ซับเบอร์แบน เป็นรถระดับโลกอย่างแท้จริง เมื่อเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา มีจำหน่ายครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แบรนด์โฮลเด้น ความเชี่ยวชาญในการผลิตรถเอสยูวีของเชฟโรเลต ไม่เพียงจะสะท้อนออกมาในซับเบอร์แบนเท่านั้น หากยังรวมถึงรถอเนกประสงค์อีกหลายรุ่น ทั้งเชฟโรเลต ทาโฮ เชฟโรเลต อิควิน็อกซ์ และเชฟโรเลต ทราเวิร์ส ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ ยังไม่นับรวมถึงเชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ หนึ่งในยานยนต์ที่ได้รับการสานต่อตำนานรถอเนกประสงค์ของเชฟโรเลตอันยาวนาน กว่า 76 ปี ด้วยตัวถังขนาดพอเหมาะ แต่ยังคงเอกลักษณ์แบบเชฟโรเลต และจากรุ่นพี่อย่างซับเบอร์แบน นั่นคือ รูปลักษณ์ที่ทรงพลัง เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เครื่องยนต์ที่ตอบสนองทุกการขับขี่ ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง รวมถึงความคุ้มค่าคุ้มราคาบนการใช้งานที่สมบุกสมบัน
...
เชฟโรเลต เปิดตัว แคปติวา รถอเนกประสงค์เอสยูวีใหม่ล่าสุด มาพร้อมดีไซน์ที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของเชฟโรเลตทั้งภายนอกและภายในห้อง โดยสาร ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินพ่วงระบบวาล์วแปรผันคู่แบบต่อเนื่อง ประหยัดเชื้อเพลิงด้วยการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คู่แรกของเชฟโรเลต มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ เกม-ดวงพร ลือกิตินันท์ ตัวแทนครอบครัวคนรุ่นใหม่ ร่วมถ่ายทอดทุกสไตล์การใช้ชีวิตสำหรับการเดินทาง
มร.อันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายการขาย การตลาด และบริการหลังการขาย ประจำประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ ได้รับการพัฒนารูปลักษณ์ สมรรถนะ และเทคโนโลยีต่างๆ ให้ก้าวล้ำไปอีกระดับ เพื่อให้เป็นที่สุดแห่งรถอเนกประสงค์สำหรับการตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ที่ผ่านมา เชฟโรเลต แคปติวา ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีในประเทศไทย เพราะเพียบพร้อมด้วยความอเนกประสงค์ ความหรูหรา และรูปลักษณ์ที่สวยงาม บริษัทจึงเชื่อมั่นว่า การเปิดตัว เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ นี้จะยังคงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมไว้เช่นเดิม แต่เพิ่มพละกำลัง เติมความดุดัน และเสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้าไป เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ เชฟโรเลตได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คู่รัก ครอบครัวคนรุ่นใหม่ มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ เกม-ดวงพร ลือกิตินันท์ เพื่อเป็นตัวแทนในการนำเสนอ บอกเล่าเรื่องราวของสมรรถนะ อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีก้าวล้ำ ความสะดวกสบายยามขับขี่เดินทางไกล
...
แนวคิดหลักในการออกแบบภายนอกของเชฟโรเลต แคปติวา ไมเนอร์เชนจ์ มุ่งเน้นให้ตัวรถมีประสิทธิภาพบนการใช้งานแบบอเนกประสงค์ไว้เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมความล้ำสมัยและพลังของเครื่องยนต์ ด้านหน้าออกแบบโดยใช้กระจังหน้าสองชั้น ดูอัลพอร์ท ขนาดใหญ่ พร้อมกรอบโครเมียม สะท้อนเอกลักษณ์ของกระจังหน้าในรถยนต์ตระกูลเชฟโรเลต คาดกลางด้วยโลโก้โบว์ไทสีทองมีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้วัสดุพิเศษที่เพิ่มมิติบนพื้นผิวโลโก้เพื่อดึงดูดสายตา กรอบไฟหน้าดีไซน์ใหม่เน้นความดุดันอยู่คู่กับไฟโปรเจคเตอร์ ฝากระโปรงและกันชนหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้มีเส้นสายลื่นไหลในทุกมุมมอง ช่องรับอากาศและไฟตัดหมอกทรงใหม่ ฝังตัวอยู่บริเวณด้านข้างของกันชนหน้า แผ่นกันกระแทกสีบรอนซ์ใต้กันชนหน้าซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในแคปติวา ใหม่ทุกรุ่น ขณะที่ด้านท้ายรถติดตั้งสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนบริเวณกันชนได้รับการติดตั้งแผ่นกันกระแทก ปลายท่อไอเสียคู่โครเมียมแบบสปอร์ต แม้จะเป็นรถอเนกประสงค์ แต่แคปติวาได้รับการดีไซน์ให้มีภาพลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถแฮชตแบคคัน โต หลังคาถูกออกแบบให้โค้งมน เพิ่มรายละเอียดความหรูหราด้วยการใช้วัสดุโครเมียมบริเวณกระจกบังลมด้านข้าง ก้านเปิดประตูสีเงิน กระจกข้างพร้อมไฟเลี้ยว และรางอเนกประสงค์บนหลังคา
ซุ้มล้อของแคปติวาใหม่ ปรับแต่งให้ดูสมบุกสมบัน รองรับกับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 19 นิ้วในรุ่น LTZ พร้อมยาง 235/50 R19 ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วในรุ่น LT พร้อมยาง 235/55 R18 และขนาด 17 นิ้วในรุ่น LSX และ LS พร้อมยาง 235/60R17 สำหรับสีสันตัวถังของแคปติวา ใหม่ มี 5 สีให้เลือกใช้ตามบุคลิกของผู้ขับขี่ ได้แก่ สีขาว Alpine White สีดำ Black Sapphire สีเทา Royal Gray และสีเงิน Sterling Silver พร้อมกับมีสีสุดพิเศษสำหรับแคปติวาใหม่โดยเฉพาะ คือสีน้ำตาล Auburn Brown
ภายในห้องโดยสารของแคปติวา ใหม่ ผสมความอเนกประสงค์และความสะดวกสบายหรูหราในแบบรถซีดาน เน้นความลื่นไหลของคอนโซลไปถึงแผงประตูข้างของห้องโดยสารตอนหน้า พร้อมกับใช้วัสดุสีโทนสว่างอย่างเมทัลลิก ทำให้ห้องโดยสารดูโล่งโปร่ง เบาะที่นั่งหุ้มหนังตัดเย็บอย่างประณีต เบาะที่นั่งคนขับปรับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 8 ทิศทาง เพิ่มความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง แผงคอนโซลหน้าได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงกับการใช้งานโดยมีคนขับเป็น จุดศูนย์กลาง หน้าจอมัลติฟังก์ชั่นระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทางเนวิเกเตอร์ด้วยดาวเทียม โหมดดูหนังฟังเพลง รวมถึงบอกข้อมูลของการขับขี่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น LTZ ด้านล่างของจอติดตั้งสวิทช์และนาฬิกาบอกเวลาทรงกลม ร่องเกียร์ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น พวงมาลัย 4 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่นซึ่งผู้ขับขี่สามารถควบคุมระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ ระบบเครื่องเสียง และระบบปรับอากาศ
แคปติวา ใหม่ ยังมีการติดตั้งเบรกมือไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในรถอเนกประสงค์ระดับราคาใกล้เคียง กัน นอกจากใช้งานง่ายกว่าเบรกมือแบบเดิมแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระบริเวณคอนโซลกลางอีกด้วย การขับขี่ในตอนกลางคืนแผงคอนโซลให้โทนแสงสีฟ้าอ่อน (Ice Blue) เช่นเดียวกับมาตรวัดรอบและความเร็วดีไซน์ใหม่แบบเรืองแสง แคปติวา ใหม่ ปรับรูปแบบการใช้งานตามความต้องการ ด้วยความกว้างของพื้นที่ในห้องโดยสารจากเบาะโดยสาร 5 หรือ 7 ที่นั่ง พร้อมระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 เมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ลงจะมีปริมาตรในการขนสัมภาระอยู่ที่ 465 ลิตร เมื่อปรับเบาะแถวที่ 2 ลงทั้งหมดจะเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อย่างอเนกประสงค์ถึง 930 ลิตร ระบบ Infotainment แสดงข้อมูลของตัวรถและระบบให้ความบันเทิงซึ่งได้รับการติดตั้งชุดเครื่อง เสียงสามมิติ (3 Dimensional Sound Staging) ที่ผ่านการคำนวณอย่างละเอียด เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดของขนาดห้องโดยสารรถ โดยเน้นให้เสียงโอบล้อมผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างมีมิติ คมชัด และสมจริง ผ่านลำโพง 8 ตัวในรุ่น LTZ และ LT โดยสามารถเชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ พอร์ทยูเอสบี (USB) และ เอยูเอ็กซ์ (AUX) วิศวกรยังได้ทำการพัฒนาระบบป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก โดยมีการติดตั้งระบบป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเพิ่มเติม ลดเสียงต่างๆ ทั้งจากพื้นถนน เสียงลม หรือเสียงเครื่องยนต์
เชฟโรเลต เปลี่ยนหัวใจขับเคลื่อนใหม่ให้แคปติวา เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2.4 ลิตร DOHC พร้อมระบบ Double CVC หรือแคมชาฟท์แปรผันคู่ต่อเนื่อง ที่สามารถปรับเปลี่ยนท่อไอดีและไอเสียได้ตามรอบเครื่องยนต์ เพิ่มสมรรถนะและความประหยัด ให้พละกำลังสูงสุด 168 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 229 นิวตัน-เมตรที่ 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Driver Shift Control (DSC) ให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบในแคปติวารุ่นใหม่ใช้ระบบเชื้อเพลิงแบบเฟล็กซ์ฟิว E85 ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการพึ่งพาน้ำมันเบนซิน ขานรับกับวิกฤตการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบัน ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้น้ำมันได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซินทั่วไป หรือน้ำมันเบนซินผสมเอทานอล ที่เรียกกันเป็นตัวเลข เช่น E10 เป็น ไปจนถึง E20 และ E85 ซึ่งมีเอทานอลผสมอยู่ถึง 85% และใช้น้ำมันเบนซินเพียงแค่ 15% เท่านั้น แคปติวา ใหม่ ถือเป็นรถรุ่นแรกที่ใช้เชื้อเพลิงเฟล็กซ์ฟิว E85 ในรถระดับนี้ นอกจากนั้นยังมีสวิทช์ปรับสู่โหมดการขับขี่แบบประหยัด (ECO) ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งด้วย เครื่องยนต์ผ่านการทดสอบอย่างหนักตามมาตรฐานของเจนเนอรัล มอเตอร์ส และเชฟโรเลตหรือ Global Engine Durability TEST (GED) โดยถูกติดตั้งอยู่ในรถแคปติวา แล้ววิ่งทดสอบในสภาพอากาศและสภาพถนนที่แตกต่างกันทั่วโลก ตั้งแต่ร้อนจัดจนถึงหนาวจัด เพื่อให้แน่ใจว่า แคปติวาที่ใช้ขุมพลังขับเคลื่อนใหม่จะสามารถรองรับกับการใช้งานทุกรูปแบบ เท่าที่จะเกิดขึ้นได้บนถนนหนทางทั่วโลก
ระบบกันสะเทือนของ เชฟโรเลต แคปติวา รุ่นใหม่ เป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท ที่ด้านหน้า และใช้ระบบช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ยึด 4 จุดที่ด้านหลัง ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ ทั้งเหล็กกันโคลงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ปรับตั้งช็อกอัพและสปริงใหม่ รวมถึงการติดตั้งลิงค์ไฮโดรลิกที่ช่วงล่างด้านหลังเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน ให้การยึดเกาะกับผิวถนนและให้ความนุ่มนวล แคปติวา ใหม่ มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยครบครัน ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มม่านถุงลมนิรภัยบริเวณด้านข้างรถเพื่อป้องกันศีรษะของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในกรณีเกิดการชนด้านข้าง ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อแบบมีครีบระบายความร้อนที่เบรกคู่หน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบเสริมแรงเบรกแบบไฮโดรลิก (HBA) และระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ (EBD) นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) รวมถึงระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP)
ระบบขับเคลื่อนของแคปติวา ใหม่ มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (All-Wheel Drive) พร้อมระบบเสริมแรงบิดอัจฉริยะ (Active Torque On Demand) ช่วยเสริมพละกำลังให้แก่ระบบขับเคลื่อนแบบ AWD จากการทำงานของคลัตช์แม่เหล็กไฟฟ้ากับคลัตช์แบบเปียก ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งกำลังสู่ระบบเฟืองท้ายแบบไฟฟ้าเพื่อกระจายแรงบิดที่เหมาะ สมมากที่สุดสำหรับเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลัง ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลและเสริมกำลังให้แก่สภาพการขับที่ที่แตกต่างกันออกไป ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (Hill Start Assist) ช่วยป้องกันรถไหลจากการเบรครถชั่วขณะในระหว่างขับขึ้นทางชัน 1-2 วินาที เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแป้นเท้าจากการเบรคไปยังแป้นคันเร่งได้โดยรถ ปราศจากการลื่นไหลใดๆทั้งสิ้น
ระบบช่วงล่างยกตัวอัตโนมัติ (Self-Levelizer) ที่จะช่วยปรับระดับของช่วงล่างให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เช่น เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระที่ด้านท้ายรถ น้ำหนักที่ถ่วงท้ายก็จะทำให้หน้ารถเชิดขึ้น แต่ด้วยกลไกอัตโนมัติของ Self-Levelizer จะปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกสูงขึ้น เพื่อให้ระดับของด้านหน้ารถกับด้านหลังอยู่ในแนวขนานกับพื้นถนนเท่ากัน ซึ่งทำให้ไม่เกิดอาการหน้าเชิด ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย มากยิ่งขึ้น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงที่ลาดชัน (Hill Descent Control) ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้ลงทางลาดชันได้อย่างปลอดภัย เพียงกดปุ่ม HDC บนคอนโซล ระบบจะควบคุมความเร็วให้เหมาะสม โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องเหยียบเบรก ตัวรถจะไหลลงทางลาดชันด้วยความเร็วคงที่ เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ ได้รับการติดตั้งระบบเบรกมือไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ยังเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระบริเวณคอนโซลกลางด้วย พร้อมติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วและระบบนำทางเนวิเกเตอร์ มาตรวัดเรืองแสงดีไซน์ใหม่ ระบบเครื่องเสียงแบบสามมิติ (3 Dimensional Sound Staging) พวงมาลัย 4 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่นที่ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็ว เครื่องเสียง และระบบปรับอากาศได้โดยใช้ปลายนิ้วสัมผัส
ระบบความปลอดภัยเต็มพิกัด ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยบริเวณด้านข้างของห้องโดยสารป้องกันศีรษะของผู้ ขับขี่ และผู้โดยสารในกรณีเกิดการชนด้านข้าง ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อแบบมีครีบระบายความร้อนที่เบรกคู่หน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบเสริมแรงเบรกแบบไฮโดรลิก (HBA) และระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ (EBD) นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) รวมถึงระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP) ระบบช่วงล่างยกตัวอัตโนมัติ (Self-Levelizer) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) และอ็อปชั่นพิเศษสำหรับ เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ คือ ระบบควบคุมป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (Hill Start Assist) ช่วยป้องกันรถไหลลงทางลาดชันในขณะออกตัว ส่วนสีตัวถังภายนอกมีให้เลือก 5 สีคือ สีขาว Alpine White สีดำ Black Sapphire สีเทา Royal Gray และสีเงิน Sterling Silver พร้อมกับสีพิเศษสำหรับแคปติวาใหม่โดยเฉพาะ คือสีน้ำตาล Auburn Brown ในราคาเริ่มต้นที่ 1,198,000 บาท จนถึง 1,580,000 บาท เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ จะเปิดตัวสู่สาธารณชนที่ลานพาร์ค พารากอน ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 29 - 31 กรกฎาคมนี้.
Arcom Roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairah.co.th
Facebook http://www.facebook.com/chang.arcom