เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศยามค่ำคืน ค้นหาอากาศยานแห่งประวัติศาสตร์ที่จอดโชว์ท่ามกลางบรรยากาศที่แปลกตาในตอนกลางดึก...
บรรยากาศที่เงียบสงบในตอนกลางคืนของพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ทำให้ผมคิดถึงการบินของเครื่องบินหลากหลายแบบภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นี่คือโอกาสที่หาได้ยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการขออนุญาตเก็บภาพอากาศยานเก่าแก่ ที่ปลดประจำการแล้วของกองทัพอากาศไทยในตอนกลางคืน พวกมันทุกลำล้วนแล้วแต่เคยสร้างวีรกรรมในการปกป้องอธิปไตยของชาติมาแล้ว อย่างโชกโชน
...
งานเลี้ยงรับรองสื่อมวลชนสายทหารของลูกทัพฟ้าถูกจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นปี งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยกองทัพอากาศโดยมีผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พลอากาศเอกอิทธิพร ศุภวงค์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เป็นประธานในงาน เพื่อเลี้ยงขอบคุณสื่อสารมวลชนในการทำข่าวของกองทัพตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้ทาง ทอ. ได้ทำการจัดงานโดยใช้พื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์อากาศยานที่สวยงามใหญ่โต โชคดีมากที่ผมจะได้มีโอกาสที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการบันทึกภาพของเครื่องบิน ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ท่ามกลางบรรยากาศในตอนกลางคืนที่หลังจากพิพิธภัณฑ์ปิดทำการ บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถเข้าไปภายในได้เลย
มันเป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่มที่งานเลี้ยงภายนอกกำลังสนุกคึกคัก ทหารที่รักษาการภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยอมให้ผมได้เข้าไปเก็บภาพเครื่องบินรบ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น ในขณะที่นายทหารบางส่วนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังเพลิดเพลินกับวงดนตรี ที่บรรเลงโดยนักดนตรีจากกองทัพ ผมกลับแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพเดินไปมาทั้งชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อเก็บภาพที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เข้ามายืนอยู่คนเดียวกลางดึก ท่ามกลางเครื่องบินล้ำค่าหลากชนิดที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าของมันได้เลย มูลค่าดังกล่าวเกิดขึ้นจากเกียรติยศที่จารึกลงบนประวัติศาสตร์ในการปกป้องผืนแผ่นดินที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน เครื่องบินทุกลำที่จอดสงบนิ่งอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จึงไม่สามารถประเมินค่าเป็นเงินได้เลย
...
พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเร็ววันนี้ อาคารต่างๆ ที่ตั้งแสดงอากาศยานได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและกำลังทำการทาสีใหม่หมดแทบจะทุกตึก หลังจากนั้นกลุ่มของอาคารต่างๆ ที่ตั้งโชว์อากาศยานจะกลายมาเป็นสถานที่ที่น่าสนใจของเยาวชนไทยรวมถึงบุคคลทั่วๆ ไปที่มีใจรักทางด้านการบิน เครื่องบินรบหรือแม้กระทั่งอากาศยานแบบปีกหมุนทุกแบบที่ใช้ในราชการของกองทัพอากาศเมื่อมีอายุการใช้งานครบชั่วโมงบินตามกำหนดแล้ว จะต้องได้รับการปลดประจำการลง เพื่อความปลอดภัยของนักบินผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องบนอากาศ
เมื่อผมเริ่มเดินเข้าไปภายใน ก็จะพบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ F5 ซึ่งถูกนำมาแขวนไว้ในแนวแทบจะตั้งตรง ลำตัวสีเงินเพรียวลมสะท้อนกับแสงไฟสปอร์ตไลท์มองเห็นหุ่นนักบินนั่งอยู่ ภายใน Cockpit อย่างชัดเจน มันคือเครื่องบินขับไล่-โจมตีที่คล่องแคล่วปราดเปรียวและทันสมัยมากที่สุดใน ยุคสงครามเย็น F 5 เกือบทุกแบบบินได้เร็วถึงกว่า 1400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีอาวุธที่น่าเกรงขามของฝั่งโลกเสรีซึ่งเป็นเขี้ยว เล็บที่แหลมคมที่เคยบินขึ้นไปเพื่อปกป้องน่านฟ้าของเรามานานมากกว่า 30 ปีแล้ว
...
...
พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศในวันนี้ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาภายใต้การดูแลของเหล่านักรบลูกทัพฟ้าที่มี ใจรักษ์อากาศยานเก่าแก่ของกองทัพ เครื่องบินหลายแบบที่หายากซึ่งบางลำมีแค่เพียงลำเดียวในโลกถูกเก็บรักษาไว้ เป็นอย่างดีก่อนที่จะผุพังลงไปตามกาลเวลา เพื่อสืบสานตำนานการบินยุคแรกของประเทศไทย และทำให้มั่นใจได้ว่า มรดกของชาติที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่เครื่องเหล่านี้จะไม่เสียหายหรือสาบสูญ ไปในยุคสมัยของเรา และการระลึกถึงวีรกรรมในการปกป้องแผ่นดินเกิดที่ดีที่สุดคือการได้เห็น อากาศยานเหล่านั้นอย่างเต็มตาภายในพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงได้อย่างสวยงาม กลมกลืน
ยิ่งดึกภายในพิพิธภัณฑ์ยิ่งเงียบสงัด ทำให้ผมคิดย้อนกลับไปถึงอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกมัน กาลเวลาที่ผ่านไปอาจทำให้อากาศยานเหล่านี้ไม่สามารถขึ้นทำการบินได้อีกแล้ว คือเรื่องจริงที่น่าเศร้าของผู้ที่มีใจรักการบินทุกคน ผมเดินผ่านเครื่อง OV 10C Bronco ทาสีพรางลายพล้อยที่จอดอยู่ข้างเครื่องเจ็ตขับไล่โจมตีระดับต่ำ A37 Dargonfly ตั้งตระหง่านอยู่ภายนอกและกำลังอยู่ในระหว่างรอทำสีใหม่หมดทั้งลำ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเจ้าเครื่องใบพัดแบบสองหางสุดงามลำนี้เคยผ่านการรบมาแล้วอย่างโชกโชน หรือเรียกได้ว่าโดนยิงจนพรุนไปทั้งเครื่องจากการเข้าสนับสนุนกองกำลังทางภาคพื้นดินในการบินทางยุทธวิธีเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้าย สภาพของตัวเครื่องยังคงสมบูรณ์และมีชิ้นส่วนครบ แม้กระทั่งปืนกล M60 ทั้ง 4 กระบอกด้านข้างลำตัวที่ถูกดัดแปลงให้สามารถติดตั้งและทำการยิงบนเครื่อง OV10C ได้ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม
ผมเกิดความคิดประหลาดภายในสมองขึ้นอย่างฉับพลัน อยากจะลองปีนขึ้นไปนั่งภายใน Cockpit เครื่องบินบางลำที่ไม่ได้ล็อกประตู เอาลำไหนดีล่ะ โรงเก็บเครื่องบินด้านในยังมีเครื่องอีกมากทั้ง F5 / C123 / F86F ของฝูง 43 กองบิน 4 ตาคลี เมื่อลองใช้สายตาสำรวจดู ลำที่พอจะปีนขึ้นไปยังห้องนักบินได้อย่างสะดวกก็คือเฮลิคอปเตอร์แบบ Sikorsky UH19 กับ Sikorsky UH34 อากาศยานแบบปีกหมุนที่ทรงประสิทธิภาพมากในยุค 1960-1970 ผมถอดรองเท้าออกเหมือนกำลังก้าวเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะเหวี่ยงตัวขึ้นไปยัง Cockpit ของเจ้า Sikorsky UH34 เฮลิคอปเตอร์ที่มีห้องนักบินสูงโด่งแปลกประหลาด ภานในยังคงเหมือนเดิมทั้งคันบังคับ ปุ่มสวิทช์ หน้าปัด มาตรวัดทุกตำแหน่งยังอยู่ครบ แม้แต่กลิ่นน้ำมันเครื่องก็ยังคงอยู่ ผมเอื้อมมือไปจับคันบังคับและโยกไปมาพลางจินตนาการไปว่ากำลังบินอยู่เหนือพื้นที่แถบภูเขาของภูหินร่องกล้าเพื่อเข้าเข้าสู่พื้นที่การรบจนแทบจะรู้สึก ถึงความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรของมัน ทันใดก็รู้ลึกเย็นวาบขึ้นมาที่สันหลังจากความเงียบและความมืดภายนอกถึงแม้ ภายในจะเปิดไฟสปอร์ตไลท์สว่างไปทั่วทั้งโรงเก็บ มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดมาก บางทีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตย์อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจกำลังเตือน ถึงการทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ของผมอยู่ก็เป็นได้
ลงจากเฮลิคอปเตอร์ Sikorsky UH34 และเดินชมต่อไปยังโรงเก็บเครื่องบินด้านนอกดูบ้าง เวลาที่เหลืออีกไม่มากนักทำให้ต้องรีบเร่งถ่ายรูปอากาศยานต่อและหมดโอกาสในการลูบคลำเครื่องสุดโปรดบางลำไปอย่างน่าเสียดาย โรงเก็บอากาศยานด้านหน้าถูกทาสีประตูใหม่หมดให้กลายเป็นสีดำ ส่วนเครื่องบินที่จอดแสดงอยู่ภายในก็มีความน่าสนใจไม่แพ้อาคารด้านในเช่น F5B หมายเลข 63-8438 เป็น F-5 B เครื่องแรกของโลก ขึ้นทำการบินครั้งแรกเมื่อปี 2507 โดยช่วงสองปีแรกก่อนมอบให้กองทัพอากาศไทย ติดตราสัญลักษณ์กองทัพอากาศสหรัฐฯ จากนั้นในช่วงต้นปี 2509 กองทัพอากาศสหรัฐฯมอบเครื่องบิน F-5 B หมายเลข 63-8438 และ63-8439 ให้กองทัพอากาศไทย โดยการขนส่งมากับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาที่ท่าเรือคลองเตย หลังจากการรับราชการในกองทัพอากาศมาเป็นเวลากว่า 41 ปี เครื่อง F-5B ทะเบียน 70101 หมายเลข 38438 หมายเลขการสร้าง N.8001 ได้รับการปลดประจำการ ในฐานะ F-5B ลำแรกของโลก
ผมเดินไปจนเกือบถึงมุมสุดของ โรงเก็บด้านหน้าเพื่อเข้าไปถ่ายรูปเครื่องบินรบที่ใช้บินปฎิบัติการรบทาง ทะเล มันคือเครื่องบินสีดำทะมึนที่ดูลึกลับมากที่สุดในคืนนี้ ชื่อของเจ้าอากาศยานสีดำลำนี้คือ Helldriver ชื่อเรียกตามกองทัพอากาศไทยกำหนดคือ บ.จ.3 เป็นรุ่น SB-2 C-5 Helldriver ระบุที่มาอย่างชัดเจนว่าได้รับมอบจาก MDAP ( Mutual Defense Assistance Program ) ตามโครงการช่วยเหลือทางทหารแบบให้ปล่าวจากรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 6 เครื่อง เครื่องบินโจมตีรุ่นนี้กองทัพอากาศขึ้นทะเบียนประจำการในวันที่ 29 มิถุนายน 2494 ซึ่งเกิดเหตุการณ์กบฎแมนฮัตตั้นขึ้นพอดี ความใหญ่โตของเครื่องบินลำนี้ทำให้ผมถึงกับงงว่ามันจะบินขึ้นจากเรือบรรทุก เครื่องบินได้ยังไง
อีกลำที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ลำตัวถูกทาสีฟ้าคือเครื่องบินโจมตีแบบที่ 4 (บ.จ.4) Firefly (พ.ศ.2494 - 2497) ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2494 กองทัพอากาศไทยได้รับโอนเครื่องบินโจมตีแบบ ไฟร์ฟลาย(Fairey Firefly) จำนวน 12 เครื่อง เป็นรุ่น F1 10 เครื่อง และ T2 จำนวน 2 เครื่อง กำหนดชื่อเป็น บ.จ.4 (เครื่องบินโจมตีแบบที่ 4) ทั้งหมดเคยประจำการในกองบินน้อยที่ 7มาแล้ว ลำตัวที่ใหญ่ไม่แพ้เจ้า SB-2 C-5 Helldriver ของเครื่อง Firefly สื่อให้เห็นถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ Rolls-Royce Griffon IIB ขนาด 1717 แรงม้าได้เป็นอย่างดี
ดึกมากแล้ว งานเลี้ยงขอบคุณสื่อสารมวลชนได้สิ้นสุดลง ผมเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพแล้วเดินออกจากโรงเก็บเครื่องบินของพิพิธภัณฑ์กองทัพ อากาศด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเก็บภาพช่วงกลางคืน ถึงแม้ตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะไม่มีเครื่องบินทุกแบบที่เคยใช้งานในกองทัพ อากาศมาตั้งแสดงให้ชม แต่หากว่าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการบินเป็นชีวิตจิตใจเหมือนผมและมีเวลาว่างมาก พอ ขอเชิญไปเยี่ยมชมอากาศยานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์การบินของ ประเทศไทย ที่นี่จะให้ทั้งความรู้และความภาคภูมิใจในความเป็นชาติมากกว่าไปเดินตากแอร์ ตามห้างดังๆอย่างแน่นอนครับ.
Arcom Roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook http://www.facebook.com/chang.arcom