มาทำความรู้จักกับรถแข่ง 10 คัน ที่นับได้ว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดในสนามและควบคุมได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีที่ประสานไปกับฝีมือในการควบคุมตัวรถของนักขับ เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ถ้วยรางวัลชนะเลิศ...

เครื่องจักรทำความเร็วทางเรียบที่หลายท่านรู้จักกันดีในรูปแบบของรถซูเปอร์คาร์ ซึ่งรุ่นปกติธรรมดาที่วางขายกันทั่วไปก็มีพละกำลังมหาศาลอยู่แล้ว แต่เมื่อรถยนต์เหล่านี้ถูกปรับแต่งเพื่อส่งลงทำการแข่งขันในรายการใหญ่ระดับโลก ความแรงของมันกลับเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ การคว้าชัยชนะในการวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับต้นๆ ของรายการ

รถสปอร์ตเหล่านี้มีพร้อมทั้งเทคโนโลยีในการขับเคลื่อน น้ำหนักที่ถูกลดเพื่อสร้างสมรรถนะอันสุดยอด ชุดแอร์โร่พาร์ทที่กดตัวถังในย่านความเร็วสูงสุด นี่คือรถที่เรารู้จักกันดีในเวอร์ชั่นตัวแข่ง ซึ่งมีทั้ง Ferrari 430 Scuderia / Aston Martin DBRS9 / Porsche 911 GT3 / Audi R8 V10 GT3 / BMW Alpina B6 / Dodge Viper V10 / Lamborghini Gallardo GT3 / Ford GT / Ascari KZ1R / Jaguar XKRS / Corvette Z06 / Nissan Skyline GTR GT1 / Morgan Aeromax / Mercedes Benz SLR McLaren 722 / SLS Gull Wing GT3 / ทำให้มหาเศรษฐีที่รู้สึกว่าทุกวันนี้ยังผลาญเงินได้ไม่สะใจ มีช่องทางที่พอจะกระโจนเข้าสู่วงการกีฬามอเตอร์สปอร์ต เพื่อซื้อหาความตื่นเต้นอันตรายแทนการใช้ชีวิตแบบเรียบๆ ที่ไร้รสชาติและความเสี่ยง

...

GT3 In Lemans
กิจกรรมแข่งรถในช่วงวันหยุดนี้ได้รับความนิยมในหมู่คนรวยทั่วทั้งทวีปยุโรปและอเมริกา แม้แต่ในบางประเทศของเอเซียก็ยังมีรายการแข่งรถเจ๋งๆ ให้ได้ติดตาม เศรษฐีขี้เบื่อบางรายจะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เคยว่างให้หมดไปกับการหมกมุ่นทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งให้ลดลง รวมถึงการปรับจูนตัวรถที่ดูเหมือนกับไม่มีวันจบสิ้น พูดคุยกับวิศวกรของทีมและพบปะกับเหล่านักขับชั้นนำของโลก รถแข่งที่กล่าวถึงทั้งหมดอาจไม่ใช่รถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่วิธีการที่เครื่องจักรเหล่านั้นหลอมรวมเอาพละกำลังที่ประสานไปกับฝีมือของนักขับรถแข่ง กลายเป็นสิ่งที่เสพติดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น F 430 Scuderia ที่สวยงามและทรงพลัง หรือรถสปอร์ตไฮเทคอย่าง R8 V10 GT3 , BMW Alpina B6 ฯ รถเหล่านี้คือตัวแทนของความปราดเปรียว ความสมบูรณ์แบบของตัวถัง ช่วงล่างและเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงกระหึ่มกึกก้องไปทั่ว มันจึงเป็นทางเลือกทีี่จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดให้เป็นประโยชน์ไม่ว่านักขับเหล่านั้นจะเป็นพวกของจริงหรือพวกชอบโชว์ก็ตาม

GT Racing In Nurburgring
รถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ทั้งหมดนี้มีน้ำหนักเบาหวิวจากการถอดเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต่อการแข่งขันออกทั้งหมด เครื่องยนต์ไม่ว่าจะมีขนาดเท่าใดเช่น V8 , V10, หรือ V12 จะมีความใกล้เคียงกับรุ่นสแตนดาร์ด แต่ปรับเปลี่ยนที่กล่องสมองกลอิเล็กทรอนิกส์และโหมดควบคุมใหม่หมดพร้อมระบบระบายไอเสียที่ไม่สามารถนำมาวิ่งบนถนนปกติได้ ระบบส่งกำลังจากที่เคยเป็นเกียร์อัตโนมัติที่แสนฉลาดก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นเกียร์รถแข่งแบบซีเควนเซียล เพื่อความทนทานยามต้องสับเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงหลายพันครั้ง แชสซีส์และตัวถังถูกโมดิฟายด้วยระบบอากาศพลศาสตร์ที่สัมพันธ์ไปกับแรงม้า ครีบรีดอากาศรอบคันกับสปอยเลอร์หลังทรงโต คล้ายราวตากผ้าอ้อมขนาดใหญ่ ทั้งหมดต้องอยู่ในกฎอันเข้มงวดของ FIA หรือสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ที่รับหน้าที่ดูแลและจัดการแข่งขัน

การทำให้รถทุกคันในคลาสของรุ่นที่จะลงทำการแข่งขันมีพละกำลังเท่ากันทั้งในเรื่องของสมรรถนะ น้ำหนัก ขนาดของเครื่องยนต์และแรงม้าที่ถูกกำหนดตามรุ่่น ทำให้การแข่งขันรถยนต์ WTCC หรือ World Touring Car Championship / Lemans Series / Nurburgring มีรสชาติมากยิ่งขึ้น กฎอันเข้มงวดรัดกุมทำให้การโกงหรือการทำผิดกฎข้อบังคับนั้นหมายถึงการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เป้าหมายของ FIA ในการจัดการแข่งขันที่มีมายาวนานนี้ก็คือ การพัฒนาตัวรถที่เชื่อถือได้แม้บางรายการต้องวิ่งกันถึง 24 ชั่วโมง พลังมหาศาลที่ประสานไปกับการควบคุมงบประมาณของทีมแข่งกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ทุกทีมต้องปฏิบัติตาม

Ferrari 430 Scuderia GT3
ม้าลำพองตัวแข่งคลาส GT3 ของ Ferrari ที่นักขับทดสอบรายงานว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับรถรุ่น Scuderia ที่วางขายทั่วไปของ Ferrari ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นต่อจากรุ่น 430 Scuderia 2007 และมีความเร็วปลายเหนือกว่ารุ่นแรกเล็กน้อย เครื่องยนต์ V8 4307 c.c. วางทำมุม 90 องศา เครื่องวางกลางลำขับเคลื่อนล้อหลัง โมเต็มพิกัดตามกฎข้อบังคับของ FIA ในรุ่น GT3 จนได้แรงม้าถึง 500 ตัวที่ 8500 รอบต่อนาที แรงบิด 465 นิวตันเมตรที่ 5250 รอบต่อนาที รถแข่ง F430 Scuderia GT3 ใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ยางหน้า 270/650 ยางหลัง 310/710 Michelin Pilot Sport ระบบห้ามล้อใช้คาร์ลิปเปอร์เบรคหน้า 6 สไลส์ลูกสูบ ส่วนเบรคหลัง 4 สไลส์ลูกสูบของ Brembro ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ 6 สปีด Sequential ถังเชื้อเพลิงจุได้ถึง 110 ลิตร น้ำหนักตัวรถทั้งคันที่ 1219 กิโลกรัม

...

Mercedes Benz SLS AMG GT3
การพัฒนารถแข่งในคลาส GT3 ของ Mercedes Benz ตามกฎข้อบังคับของ FIA รองรับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบแบบมาราธอน ซึ่งรวมเอาความทรหดอดทนของทั้งนักขับและตัวรถของแต่ละทีม รถ SLS AMG GT3 ที่ถูกส่งลงทำการแข่งขันใน Nurburgring มีการปรับแก้ด้านแอร์โรไดนามิกโดยการใช้ช่องลมและช่องระบายขนาดใหญ่เพื่อความสมดุลของกระแสลมที่จะกระทำต่อตัวรถที่ย่านความเร็วสูง ใต้ท้องรถถูกปิดมิดชิดทั้งหมด บริเวณใต้กันชนหลังมีแผ่นรีดอากาศดิฟฟิวเชอร์ นำเอาอากาศใต้ท้องรถออกไปด้วยการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทำให้การทรงตัวที่ความเร็วสูงมีความมั่นคง สปอยเลอร์หลังขนาดยักษ์ ปรับฐานล้อให้เพิ่มมากขึ้น เครื่องยนต์ V8 6.3 ลิตร 563-600 แรงม้า หล่อลื่นด้วยระบบ Dry-sump วัสดุภายในเครื่องยนต์ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการแข่งขันทางไกล ซึ่งต้องวิ่งกันกว่า 3000 ไมล์ในเวลา 24 ชั่วโมง เครื่องยนต์ตัวนี้พัฒนาขึ้นโดยช่างของแผนกมอเตอร์สปอร์ตหรือ AMG มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 3.8 วินาทีความเร็วปลายทะลุ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมเกียร์แข่ง 6 สปีดแบบ Sequential ภายในหุ้มโรล์บาร์รอบห้องโดยสาร โดยใช้วัสดุพวกแผงคอนโซลเป็นคาร์บอนทั้งหมด  เบาะบัคเก็ตซีทพร้อมเข็มขัดนิรภัย 6 จุดยึด ลงทำการแข่งขันในรุ่น GT3

...

McLaren Mercedes SLR 722 Trophy
ความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครในรายการแข่งขันที่จัดขึ้นเฉพาะรถ McLaren SLR รุ่นพิเศษเจ้าของรหัส 722 บริษัท Mercedes Benz เป็นผู้คิดค้นและหาทางออกในการใช้เงินให้กับบรรดาเศรษฐีขี้เบื่อด้วยการจัดการแข่งขันรถรุ่นนี้เพียง 21 คันเท่านั้น ที่ลงชิงชัยและใช้ชื่อรายการอันสวยหรูนี้ว่า 722 Trophy สนามแข่งขันยังมีรันเวย์สำหรับเครื่องบินส่วนตัวที่พาลูกค้านักซิ่งกระเป๋าหนักมาระบายความดิบเถื่อนบนสนามแข่ง การควักเงินจ่ายถึง 34 ล้านบาทในหนึ่งฤดูการแข่งขันที่มีเพียง 6 ครั้งในหนึ่งปี หลังจากจบฤดูกาลตัวรถยังคงเป็นของบริษัท Mercedes Benz โดยเหล่านักขับผู้ร่ำรวยจะได้เพียงประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในสนามกับเพื่อนใหม่ที่ร่ำรวยพอกันแค่นั้น  McLaren SLR 722 Trophy มีเครื่องยนต์ V8 5439 c.c. 680 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 3.3 วินาที และเบากว่า SLR รุ่นปกติถึง 300 กิโลกรัม

Porsche 911 GT3R
นี่คือรถแข่งที่ขึ้นชื่อว่ามีเสียงดังมากที่สุด แข็งกระด้างและควบคุมยากที่สุด ซึ่งต้องใช้นักขับมากประสบการณ์เพื่อขับมันเข้าเส้นชัย ในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ 24 ชั่วโมงที่ Nurburgring โครงการพัฒนารถแข่งรุ่น 911 GT3R เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2008 ด้วยการใช้ระบบกักเก็บพลังงานเอาไว้ที่ฟลายวีลหรือ Energy Storge System ซึ่งใช้วิศวกรถึง 6 คนกับช่างเครื่องอีก 9 คน Porsche 911 GT3R ใช้เครื่องยนต์สูบนอน Flat Six 3996 c.c. 480 แรงม้าที่ 7250 รอบต่อนาที กับแรงบิด 345 lb ft ที่ 6500 รอบ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 80 แรงม้าสองตัว พลังงานสำรองสามารถเพิ่มจำนวนรอบได้อีกหนึ่งรอบเต็มๆ หากเชื้อเพลิง 120 ลิตรในถังหมดลงเมื่อเปรียบเทียบกับ 911 GT3 ตัวเก่า ระบบไฟฟ้าสามารถสร้างความได้เปรียบในเรื่ิองของการทรงตัวเมื่อใช้มอเตอร์ ที่หมุนเร็วถึง 40,000 รอบต่อนาที ระบบดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นโดยทีมงาน Williams Hybrid Team เพื่อนำไปปรับใช้กับระบบสำรองพลังงาน KERS ที่ใช้ในรถแข่ง F1 พลังงานที่ได้จากการเบรคทุกครั้ง จะถูกปลดปล่อยลงสู่ล้อหน้าซึ่งได้แรงม้าถึง 80 แรง รวมสองล้อ 160 แรงม้า และใช้ได้ในเวลาเพียง 8 วินาที เพิ่มจาก 480 แรงม้าในเครื่องยนต์ 4.0 ลิตรสูบนอน

...

Audi R8 GT3
Audi R8 Le Mans Series 2010 คือ นวัตกรรมล่าสุดบนสนามแข่งขัน เพื่อส่งมอบตัวรถสมรรถนะสูงที่ใช้สำหรับการแข่งขันให้กับบรรดาทีมแข่งต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Audi โดยทั่วไปแล้วรถในตระกูล R8 ทุกคันคือส่วนผสมที่ลงตัวของรถสปอร์ตเครื่องวางกลาง ขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมด้วยช่วงล่างและระบบส่งกำลังชั้นยอด หลังจากรถโมเดล R8 Lemans Series คันใหม่ล่าสุดโดนส่งลงไปชิงชัยในรายการ Nurburgring 24h มันก็สามารถกำชัยชนะอย่างงดงามเหนือกว่ารถแข่งชั้นหัวกระทิอย่าง Porsche 911 GT3/ BMW M3-M6GTR/ Lexus LFA Nurburgring/ Lamborghini Gallardo Class GT3/Ferrari 430Scuderiaฯ รถแข่ง R8 Le Mans Series 2010 คันนี้จะอยู่บนพื้นฐานโครงสร้างของตัวรถด้วยการผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา อย่างอลูมิเนียมแล้วขึ้นรูปงานตัวถังตามแบบฉบับบของ Audi Space Frame (ASF)

แนวคิดในการออกแบบและสร้างรถแข่งของ Audi ตลอดช่วงระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมามีพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ตซึ่งเป็นตัวเร่งของความสำเร็จเหล่านั้น โครงสร้างตัวถัง ตำแหน่งเครื่องยนต์ ชุดส่งกำลัง และระบบเบรค หลายองค์ประกอบที่ยกมาจากสายการผลิตมีการแก้ไขเพียงเล็กน้อยตามกฎของการแข่งขันจาก FIA  Audi R8 มีแผนกมอเตอร์สปอร์ตที่ใช้ผลิตตัวถังมาตรฐานจากสายการผลิตใน Neckarsulm เป็นฐานสำหรับรถ R8 LMS ทุกคัน เครื่องยนต์ V10 เป็นเครื่องตัวเดียวกันกับรุ่นปกติแต่ถูกปรับจูนแรงม้าให้มีแค่ 500 ตัว น้อยกว่ารุ่นธรรมดา 25 แรงม้า ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งติดตั้งแป้นคลัตช์มาให้นักแข่งได้ใช้งาน ตอนออกตัวจากเส้นสตาร์ท ตามกฎข้อบังคับใหม่ของปี 2010 ที่กำหนดโดยสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติหรือ FIA ไม่อนุญาตให้รถแข่งในรุ่น GT3 ใช้ระบบหรือกลไกในการขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ R8 Le Mans จึงจำเป็นต้องยกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Qurttro ออก แล้วใส่ระบบขับเคลื่ิอนล้อหลังแต่เพียงอย่างเดียว แต่การยึดเกาะกับพื้นผิวของสนามแข่งขันก็ไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพลงแต่อย่างใด บนความสูงระดับเรี่ยกับพื้นทำให้ตัวรถสามารถทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยมในโค้งความเร็วสูงซึ่งกลายเป็นที่มาของชัยชนะบนสนามแข่งขันในปีนี้นั่นเอง

Lamborghini Gallardo GT3
ตัวแข่งเครื่องวางกลางจากค่ายกระทิงเปลี่ยวคันนี้ มีเทคโนโลยีร่วมกันกับรุ่น Gallardo  LP 560/4 แต่มีม้ามากกว่า 10 ตัว วัตถุประสงค์หลักของแนวคิด Reiter Strada โดยวิศวกรกับช่างของอิตาลีในค่าย Lamborghini นำเทคโนโลยีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้จากการสร้างรถแข่งรวมถึงกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตที่ Lamborghini ร่วมงานด้วยมาพัฒนาปรับใช้ในการส่งรถรุ่น Gallardo ลงทำการแข่งขันในรุ่น GT3 European Le Mans Series เครื่องยนต์ V10 ของ Gallardo รุ่นมาตรฐานปริมาตรความจุ 5.0 ลิตร 670 แรงม้า กำลังที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 แรงม้าเกิดจากการปรับจูนกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ และท่อทางเดินอากาศใหม่หมด น้ำหนักที่ลดลง 90 กิโลกรัมจากรุ่น 560/4 เกิดจากการถอดระบบ AWD Gallardo 's ขับเคลื่อนสี่ล้อออก เหลือเพียงการขับเคลื่อนที่ล้อหลังตามกฎข้อบังคับใหม่ของ FIA ที่เริ่่มบังคับใช้ในปีนี้

Aston Martin DBRS9
รถแข่งคันนี้เกิดขึ้นโดยใช้พื้นฐานของรถ Aston Martin DB9 ตัวถังและเครื่องยนต์เหมือนกับรุ่นปกติแต่ใช้ชุดแอร์โรพาร์ทเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดยามทำความเร็วในสนามแข่งขันทั้งบนทางโค้งและทางตรง หลังจากเปิดตัวทีมแข่งมากประสบการณ์ในปี 2005 ทีมแข่ง Aston Martin เริ่มลงทำการแข่งขันในรายการ GT3 European Championship และคว้าชัยชนะในตำแหน่งที่สองของคลาส GT3 รถ DBRS9 มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบ V12 5.9 ลิตร ให้กำลัง 550 แรงม้า ตัวถังส่วนใหญ่ โครงสร้างของรถเป็นคาร์บอนคอมโพสิตทั้งหมด ยกเว้นหลังคาที่ยังคงเป็นโลหะเพื่อความปลอดภัยเมื่อซิ่งด้วยกำลังสูงสุด น้ำหนักที่ลดลงถึง 480 กิโลกรัมจากรุ่น DB9 เกิดจากการถอดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกกับชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป น่าแปลกใจที่มันมักขึ้นนำในรอบต้นๆ ของรายการ Lemans แต่สุดท้ายก็โดนแซงตลอด บริษัทและทีมแข่ง Aston Martin ใช้เงินงบประมาณในทีมน้อยกว่า Audi แค่เพียง 1 ใน 10 ต่อการทำรถแข่งในแต่ละฤดูกาล

BMW Alpina B6
การกลับคืนสู่สังเวียนการแข่งขันความเร็วทางเรียบในรุ่น GT3 ของบริษัทแต่งรถชั้นนำ Alpina ด้วยตัวรถ BMW Series 6 Coupe เต็มไปด้วยพัฒนาการของพลังที่สืบทอดมานานกว่า 40 ปีบนสนามแข่งขันของยุโรปและอเมริกา รถ BMW Alpina B6 ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง ติดตั้งระบบอัดอากาศ Supercharged ปริมาตรความจุ 4.4 ลิตร สร้างแรงม้า 530 ตัว กับแรงบิด 724 นิวตันเมตร เกียร์ 6 - Speed Sequentia ซึ่งใช้อัดทางตรงได้ถึง 211 ไมล์ต่อชัวโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรใน 3.8 วินาที บนน้ำหนักตัว 1350 กิโลกรัม

Corvette Z06 GT 2
สุดยอดแห่งพลังเครื่องยนต์จากอเมริกัน นี่คือรถที่แรงติดอันดับต้นๆ ของสนามและของโลก Corvette Z06 GT 2 กลายเป็นที่นิยมของทีมแข่งระดับโลกนับสิบทีม บนสนามแข่งขัน 24 ชั่วโมงใน Le Mans กับ American Le Mans Series รถแข่ง Z 06 GT 2 มาพร้อมกับเครื่องยนต์โอเวอร์เฮดวาล์วขนาดยักษ์รหัส LS7 ปริมาตรความจุ 7.0 ลิตร วางทำมุม 90 องศา 650 แรงม้า พร้อมแรงบิด 650 นิวตันเมตร น้ำหนักตัว 1,200 กิโลกรัม ระบบส่งกำลังแบบ Xtrac 6 Speed Sequential แรงสุดจนคว้าชัยชนะได้นับ 10 รายการ นับได้ว่ารถ Corvette Z06 GT 2 เป็นรถที่แรงที่สุดในสนามแข่งขัน แทบจะทุกรายการที่มันถูกส่งลงไปต่อกรกับรถสุดเจ๋งของทีมอื่นๆ สามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเหล่าบรรดาคู่แข่งตัวแรงอย่างแท้จริง เสียงคำรามของเครื่องโอเวอร์เฮดวาล์วขนาด 7.0 ลิตร ยามวิ่งผ่านผู้คนที่เข้ามาชมการแข่งขันมีความดังแค่ไหนก็ลองเปิดใน You Tube แล้วพิมพ์คำว่า Corvette C 6W Challenge

Nissan Skyline GT-R GT1
รายละเอียดของตัวแข่งระดับพระกาฬจากแดนปลาดิบคันนี้คือสุดยอดความเร็วทางเรียบในรุ่นสูงสุด GT1 ซึ่งเต็มไปด้วยตัวโหดแรงม้ามหาศาลที่เข้าร่วมชิงชัยในสนามแข่ง รถแข่ง Nissan Skyline GT-R GT1 ถูกพัฒนาและประกอบขึ้นด้วยทีมงานระดับเทพของ Nismo สำนักแต่งรถคู่บารมีของทีมแข่ง Nissan โดยใช้ตัวถังของรถ Skyline GTR R35 มันมีเครื่องยนต์ V8 4.5 ลิตร แทนที่เครื่อง V6 Twin-Turbo ในรุ่นปกติ เครื่องยนต์V8วางหน้าตัวนี้มีความแรงถึง 592 แรงม้ากับแรงบิด 686 นิวตันเมตร (มากกว่า Corvette Z06 GT 2 เล็กน้อย) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถูกถอดออกให้เหลือเพียงการขับเคลื่อนที่ล้อหลังตามกฏการแข่งขันในปีนี้ ตัวโหดที่รถ GTR GT1 จะต้องลงไปฟาดฟันในสนามมีทั้ง Murcielago GT1 / Saleen S7R / Maserati MC12 รวมถึง Corvette C6 R ซึ่งล้วนแต่เป็นรถแรงที่แซงยากแทบทั้งสิ้น.

Arcom Roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th