คลิปชวนระทึกขวัญสั่นประสาท สำหรับผู้ที่รักการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ได้รับชม ก่อนที่จะเหวี่ยงสายตาลงมาอ่านสกู๊ปของทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ในวันนี้คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 ของสายการบิน Aeroflot ประเทศรัสเซีย เที่ยวบิน มอสโก-กรุงเทพฯ ที่ไปเกิดตกหลุมอากาศขณะบินอยู่เหนือท้องฟ้าประเทศเมียนมาก่อนถึงกรุงเทพฯ เพียงประมาณ 40 นาที เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2560 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป...

โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือบางส่วน ล้มลุกคลุกคลาน และมีรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ถึง 27 คน โดยในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 คน จากผู้โดยสารบนเครื่องทั้งหมด 318 คน ลูกเรือ 14 คน ก็คือ... การตกหลุมอากาศ แต่มันหาใช่ หลุมอากาศธรรมดาๆ

แต่มันคือ หลุมอากาศ ในแบบฉบับที่เรียกกันว่า Clear Air Turbulence หรือ การตกหลุมอากาศวันฟ้าใส! ไร้สิ่งบอกเหตุใดๆ

ชื่อที่ฟังไม่น่ากลัว แต่หากใครยังไม่รู้ ในประวัติศาสตร์การบิน มีผู้สังเวยชีวิตให้กับ ปรากฏการณ์นี้มาแล้ว และปัจจุบัน มันเกิดถี่ขึ้น หนำซ้ำยังมีระดับความรุนแรงที่มากขึ้นและยาวนานขึ้น ในปีๆ หนึ่งของปัจจุบัน เฉลี่ยแล้วมีการตกหลุมอากาศวันฟ้าใสนี้ มากถึง 750 ครั้ง! .....และต่อไปมีแนวโน้มจะเกิดมากขึ้นกว่านี้อีก จาก สภาวะโลกร้อน อันเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์

...

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ไปไขคำตอบในเรื่องนี้ ผ่านเลนส์ของนักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนาม ขาประจำของไทยรัฐออนไลน์ของ เรา รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ตกหลุมอากาศของเครื่องบินโดยสาร มักจะเกิดค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในระยะหลังๆ มานี้ แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยเป็นข่าวเพราะไม่มีอันตราย และมักจะกินระยะเวลาเพียงไม่นาน แต่กรณีล่าสุดของ แอร์โรฟอร์ด ค่อนข้างเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะค่อนข้างรุนแรง และกินระยะเวลายาวนานกว่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ กินระยะเวลายาวนานถึง 10 วินาที! อาจารย์ชัยวัฒน์ เปิดประเด็นไว้อย่างน่าสนใจกับทีมข่าวฯ

อย่าเพิ่งยักคิ้วทำหน้าฉงน แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ คงอยากถามแล้วสิว่า แค่ 10 วินาที จะถือว่านานได้ยังไง? เอาล่ะ เราไปฟัง อ.ชัยวัฒน์ อธิบายกัน

“10 วินาที ต้องถือว่านานมากสิ คิดดูก่อนนะ เครื่องบิน บินด้วยความเร็วเท่าไร? ผ่านไป 10 วินาที เครื่องบินเคลื่อนที่ไปได้ไกลเท่าไรแล้ว? ฉะนั้นหลุมอากาศที่เกิดขึ้นจะต้องมีขนาดที่ใหญ่ และรุนแรงมากแน่นอน หรือหากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากเปรียบเป็นถนน หลุมอากาศที่ แอร์โรฟอร์ด ตกลงไป ก็เป็นหลุมบนถนน ที่มีขนาดยาวและลึกมาก”

และที่น่าสนใจมากไปกว่า การที่มันเกิดและกินระยะเวลายาวนานถึง 10 วินาที ก็คือ มันเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Clear Air Turbulence หรือทัศนะวิสัยปลอดโปร่ง ฟ้าแจ่มใส ไม่มีสัญญาณหรือเค้าลางใดๆ เป็นสัญญาณเตือนให้นักบิน ทราบล่วงหน้า เพื่อที่จะพยายามหลบเลี่ยงมาก่อน! ซึ่งถือว่า ค่อนข้างผิดปกติ!

ขึ้นเครื่องบินต้องรู้ เสี่ยงเจอตกหลุมอากาศวันฟ้าใส เฉลี่ย 750 ครั้งต่อปี ทั่วโลก 

และสิ่งที่บรรดา นักนิยมทัวร์บินเที่ยวต่างประเทศ ต้องรู้เอาไว้ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลตัวเองเมื่อขึ้นเครื่องบินนับจากนี้ก็คือ ปรากฏการณ์ตกหลุมอากาศ แม้ในยามทัศนวิสัยปลอดโปร่ง เช่น กรณีของสายการบิน แอร์โร่ฟอร์ดนี้ มีแนวโน้มว่าจะเกิดมากขึ้น คิดค่าเฉลี่ยแล้ว ในปัจจุบันก็สูงถึงประมาณ 750 ครั้งต่อปี! โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก

ปัญหาโลกร้อน เป็นสำคัญ!

สายการบินทั่วโลก ขยับหาทางป้องกัน หลังพบเกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากขึ้น

รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ เลกเชอร์ให้ทีมข่าวฯ ฟังต่อไปว่า ปัจจุบัน การตกหลุมอากาศ ยังไม่ถือว่าเป็นภัยต่อการเดินทางในอากาศ แต่กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่า บรรดาสายการบินต่างๆ จะต้องมีการขยับตัว เพื่อหาทางป้องกันปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีการควบคุมการจราจรทางอากาศ จะต้องมีการพัฒนาให้สามารถตรวจจับปรากฏการณ์นี้ให้ได้มากขึ้น เพื่อเตือนภัย เครื่องบินโดยสารต่างๆ เพราะมันเริ่มเกิดถี่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เอาล่ะ ต่อไปสิ่งที่บรรดา ชาวทัวร์ต่างประเทศต้องไปทำความรู้จักกันก็คือ หลุมอากาศ คืออะไร? แล้ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หลุมอากาศ ง่ายๆ เลยมันก็คือ สภาพที่ลมฟ้าอากาศแปรปรวน นั่นแหละ อากาศร้อนมาปะทะกับอากาศเย็น แล้วเกิดเป็นกระแสหรือสายลำอากาศเคลื่อนไหวเร็วแบบเจ็ต คล้ายไอพ่นของเครื่องบินเจ็ต อ.ชัยวัฒน์ สรุปสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น

...

การตกหลุมอากาศ จะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1. ระดับเบา 2. ระดับปานกลาง 3. ระดับหนัก โดยหากเป็นสองระดับแรก คือ ระดับเบา และ ระดับปานกลาง ส่วนใหญ่จะส่งผลเพียงเครื่องบินสั่นไหว มีอาการตกหลุมอากาศเล็กๆ จนทำให้ผู้โดยสารตกอกตกใจไปบ้าง แต่ไม่ค่อยมีอันตรายรุนแรง แต่หากเป็นระดับที่ 3 อาจจะรุนแรงถึงขนาดทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บได้เลย โชคดีที่การตกหลุมอากาศวันฟ้าใสนี้ ส่วนใหญ่เป็น ระดับเบา และ ระดับปานกลาง 

เคยมีมาแล้ว สังเวยชีวิตรายแรกให้ ตกหลุมอากาศวันฟ้าใส 

และเท่าที่ได้ตรวจสอบประวัติศาสตร์การบินที่ผ่านมา พบว่า Clear Air Turbulence เคยทำให้มีผู้เสียชีวิตมาแล้ว โดยเกิดขึ้นกับ สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ของสหรัฐอเมริกา เที่ยวบิน 826 จากญี่ปุ่นไปสหรัฐอเมริกา จนส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บมากถึง 102 คน เสียชีวิต 1 ราย จากผู้โดยสารทั้งหมด 374 คน ลูกเรือ 19 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 1997

สำหรับกรณีการเกิด หลุมอากาศวันฟ้าใส นั้น ในปัจจุบัน นักบินยังไม่สามารถตรวจจับล่วงหน้าได้ เพราะจริงอยู่ที่หลุมอากาศในลักษณะนี้ แม้มันก็เกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน แต่โดยทั่วไป หากนักบินเห็นสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือบินผ่านเมฆ หากมีอะไรน่าผิดสังเกต นักบิน หรือหอบังคับการบินมักจะรู้ตัวล่วงหน้า และจะมีการประกาศแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรีบรัดเข็มขัดนิรภัย เพื่อความปลอดภัยได้

แต่ในกรณีภัยเงียบที่เรียกว่า หลุมอากาศแบบฟ้าใส นักบินจะไม่สามารถสังเกตเห็น หรือรู้ตัวล่วงหน้าได้เลย และที่สำคัญเทคโนโลยีที่ติดตั้งบนเครื่องบินโดยสารในปัจจุบัน ยังไม่มีอุปกรณ์ใด ที่สามารถตรวจพบปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ได้

...

ขาช็อปเที่ยวยุโรป ต้องระวัง Clear Air Turbulence เจอบ่อยเจอถี่นับจากนี้เป็นต้นไป

เท่าที่ผมตรวจสอบและศึกษามา การเกิด Clear Air Turbulence พบว่า ..

1. ส่วนใหญ่มักจะเกิดในระดับความสูง ซึ่งเป็นระดับความสูง ที่เครื่องบินโดยสารส่วนใหญ่บินกัน คือ ระดับความสูงประมาณ 9-12 กิโลเมตร

2. มีแนวโน้มว่า ปรากฏการณ์ Clear Air Turbulence ที่เกิดบ่อยขึ้น และแรงขึ้น นั้น เริ่มขยับไปเกิดทาง ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ มากขึ้นๆ

ทำให้ในเวลานี้ สายการบินส่วนใหญ่ ที่มีเที่ยวบินระหว่างทวีปยุโรป ทวีปเอเชีย และ ทวีปอเมริกาเหนือ ต้องขยับ หรือเตรียมขยับเส้นทางการบิน เพื่อหลบเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปรากฏการณ์ Clear Air Turbulence แต่แน่นอน เมื่อมีการปรับเส้นทางแบบนี้ ระยะเวลาสำหรับการเดินทางก็ต้องยาวนานมากขึ้น เมื่อระยะเวลามากขึ้น ผลพวงที่ตามมาก็คือ เครื่องบินต้องใช้น้ำมันมากขึ้น พูดง่ายๆ คือ แต่ละสายการบินจะต้องแบกภาระต้นทุนมากขึ้นนั่นเอง

น้ำมือมนุษย์ ตัวการสำคัญสร้างปัญหาโลกร้อน และอาจจะไร้หนทางแก้ไข หากสหรัฐฯ ยังมีผู้นำชื่อ ทรัมป์

เมื่อสนทนามาถึงตอนนี้ อ.ชัยวัฒน์ ทำสีหน้าค่อนข้างหนักใจ ก่อนจะเอ่ยปากว่า ....ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนว่า ปัญหาโลกร้อน มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์เราเริ่มต้นการใช้เครื่องจักร พูดง่ายๆ ก็คือ โลกมันเริ่มร้อนขึ้นมาตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่มีการปล่อยมลพิษขึ้นไปบนท้องฟ้า จนกระทั่งค่อยๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Green House Effect หรือ ปรากฏการณ์เรือนกระจก กระทั่งทำให้โลกค่อยๆ ร้อนขึ้นๆ จวบจนปัจจุบัน

ในขณะที่ความพยายามในการแก้ไขปัญหา เริ่มเจอทางตันอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะ...

...

นับตั้งแต่ Kyoto protocol หรือ พิธีสารเกียวโต หมดอายุลงไปเมื่อปี ค.ศ. 2012 ในเวลาต่อมา อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้จับมือกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่ปักกิ่ง ในปี ค.ศ. 2014 ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของสองประเทศต้นเหตุใหญ่ของภาวะโลกร้อน ที่จะแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ก่อนจะมี The Paris Agreement หรือ ข้อตกลงปารีส ในปี 2015 ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่เป็นจริงเป็นจังมากที่สุด นับตั้งแต่มี พิธีสารเกียวโต เป็นต้นมา จนกระทั่งทำให้ชาวโลกยินดีปรีดากันทั่วหน้านั้น

แต่แล้วจู่ๆ... ฟ้าก็ส่งคนที่มีชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มาเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกา

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีจุดยืนที่ชัดแจ้งตั้งแต่ช่วงรณรงค์หาเสียงแล้วว่า ไม่เห็นด้วย ทั้งในส่วนของสาเหตุและผลกระทบ ที่สหรัฐอเมริกา จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

โดยกล่าวหาเสียด้วยซ้ำไปว่า เรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เต้าเรื่องขึ้น และกล่าวหา ประเทศจีน กำลังฉวยโอกาสทำตัวเป็นฮีโร่เรื่องโลกร้อน ทั้งๆ ที่ไม่เป็นเรื่องจริง 

แปลง่ายๆ ชัดๆ ก็คือ ณ เวลานี้ USA ภายใต้ ท่านผู้นำทรัมป์ ขอยักไหล่เมินทุกสัญญาประชาคม ที่จะทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้นว่า ..... ข้อตกลงนั้นจะทำให้โลกทั้งโลกค่อยๆ ร้อนขึ้นๆ จนกระทั่ง ชาวโลกได้รับผลกระทบก็ตามแต่!

“ปรากฏการณ์โลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์เรานั้น ทำให้บรรยากาศของโลกแปรปรวนมากขึ้นเรื่อยๆ และมีผลทำให้ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง เกิดพายุบ่อยครั้ง และรุนแรงมากขึ้นๆ และต่อไปในอนาคต หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง อะไรจะเกิดขึ้นกับ อนุชนรุ่นหลังของเรา ก็คิดกันเอา” รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ กล่าว

ไม่ต้องตื่นตระหนก แค่เอาใจใส่ สวมเข็มขัดนิรภัยกับที่นั่ง เชื่อฟังกัปตัน รับรองปลอดภัย

และท้ายที่สุด อ.ชัยวัฒน์ ขอฝากถึงแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยๆ ว่า ไม่ต้องวิตกกับเจ้าปรากฏการณ์ ตกหลุมอากาศแบบฟ้าใส มากจนเกินไป เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ อีกทั้ง หากเราปฏิบัติตามคำเตือนของกัปตัน และเข้มงวดสักนิด เรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัยกับที่นั่ง อันตรายของมันก็จะลดน้อยลงไป 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

ชมคลิป ปรากฏการณ์ ตกหลุมอากาศแบบฟ้าใส ที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของสายการบินอื่นๆ