นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยในโอกาสครบรอบ 48 ปี กฟผ.ว่า กฟผ.จำเป็นต้องปรับองค์กรเพื่อรับแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าของโลกที่มุ่งพลังงานทดแทนมากขึ้น แต่ยังคงมีเชื้อเพลิงฟอสซิลควบคู่ไปด้วยเพื่อดูแลราคาค่าไฟฟ้าให้เหมาะสมไม่เป็นภาระประชาชน จึงได้เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ กฟผ.ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2,000 เมกะวัตต์ และกำหนดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ 20 ปี ระหว่างปี2559-2579 (พีดีพี 2015) ทำให้ปลายแผนพีดีพี

ในปี 2579 กฟผ.จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 42-43% จากเดิมตามแผนจะอยู่ที่ 39%“ในปีนี้ กฟผ.ยังเตรียมเปิดให้เอกชนเข้าประมูลเพื่อลงทุนระบบกักเก็บพลังงาน (เอ็นเนอร์ยี สตอเรจ) ใน 2 พื้นที่คือ อ.บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ขนาด 16 เมกะวัตต์ และอ.ชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ขนาด 21 เมกะวัตต์ โดย กฟผ.และกระทรวงพลังงานจะเร่งชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจความจำเป็นในการลงทุนพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและดูแลค่าไฟฟ้าที่อาจทำให้ค่าไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้น”

สำหรับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในแผนพีดีพี 2015 เป็น 40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 18-20% นั้น การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2,000 เมกะวัตต์เป็นหนึ่งในแผน “ผลจากการเข้ามาของพลังงานทดแทน อาจทำให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินโรงที่ 6 ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ในช่วงปลายแผนพีดีพี 2015 ไม่เกิดขึ้นตามเป้า แต่ในส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา รวม 2,000 เมกะวัตต์ ยังมีความจำเป็น เพราะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ากำลังผลิตไฟฟ้าในภาคใต้จะน้อยกว่าความต้องการใช้อย่างมีนัยสำคัญ.

...