เหล่ากำลังพลกองทัพบกทุกระดับชั้นที่ผ่านการคัดเลือกจาก 17 หน่วยงานทหาร หลั่งไหลไปสมัครคัดตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ฉุดชักราชรถ ในริ้วขบวนพระอิสริยยศ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นงานที่สุดภาคภูมิใจ ถือเป็นเกียรติยศสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มีโอกาสฉุดชักราชรถริ้วขบวนพระบรมศพ “รัชกาลที่ 9” ด้าน “ธนะศักดิ์” มั่นใจพระเมรุมาศเสร็จทันกำหนด ด้านคณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระ เมรุมาศฯ เห็นชอบแบบพระโกศทองคำลงยาทรงพระบรมอัฐิ “ในหลวงภูมิพล” รวม 4 แบบ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชานุญาตให้องค์กรภาคเอกชน ตลอดจนมูลนิธิ สมาคมต่างๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ เจ้าพนักงานได้นิมนต์พระพิศาลประชานาถ (ดนัย อตฺถภทฺโท) เจ้าอาวาสวัดสุทธาราม ถวายพระธรรมเทศนา “ภูมิพลกถา”

ขณะที่ประชาชนจำนวนมากจากทั่วสารทิศเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท อย่างไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญและคณะบุคคลจากต่างประเทศเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยด้วย โดยในเวลา 10.30 น. นายเลียนเซน เซริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน เดินทางมาวางพวงมาลา ถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

เวลา 12.30 น. องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) คณะกรรมการระดับสูงและคณะกรรมการบริหารขององค์การฯ ทั้งบรรพชิตจากทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เวียดนาม อินเดีย สหรัฐอเมริกา จำนวน 50 รูป และคฤหัสถ์ 43 คน เข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีพระกรุณาธิคุณต่อองค์การฯ อย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งได้ทรงเป็นองค์อุปถัมภก นับแต่องค์การฯ ได้ก่อตั้งจวบจนเสด็จสวรรคต

...

นายอิชฌน์อนนต์ ไทยอารี เลขาธิการยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกจากจะทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกโดยตำแหน่งแล้ว ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ชาวพุทธทั่วโลกให้ความเคารพและเทิดทูนที่สุด ด้วยทรงดำรงพระองค์อยู่ในหลักทศพิธราชธรรม อันเป็นแบบอย่างที่ดีต่อชาวพุทธทั่วโลก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีการประชุมใหญ่ขององค์การฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะทรงเน้นย้ำผ่านพระราชสาสน์เสมอว่าให้เผยแพร่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง องค์กรพุทธทั่วโลกต้องมีความสามัคคีกัน พร้อมใจกันดำรงศาสนาพุทธให้คงอยู่กับพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่อไป

ขณะที่สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 31,018 คน รวม 147 วัน มี 5,708,929 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,283,235.42 บาท รวม 147 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 472,138,275.01 บาท

ส่วนที่ท้องสนามหลวง ตั้งแต่เช้าวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เริ่มทยอยรื้อเต็นท์จุดพักคอยด้านทิศเหนือสนามหลวง นำไปตั้งไว้รอบสนามหลวงด้านทิศใต้ เป็นรูปแบบครึ่งวงกลมหรือรูปเกือกม้า เพื่อเตรียมคืนพื้นที่บริเวณ ทิศเหนือให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จัดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ โดยเปลี่ยนจุดให้ผู้ที่จะเข้ามากราบพระบรมศพเข้าทางด้านฝั่งตรงข้ามศาลฎีกา แล้วเดินไปทางด้านพระบรมมหาราชวัง เข้าสู่เต็นท์จุดพักคอยที่อยู่บริเวณรอบสนามหลวง แล้วทยอยเดินไปที่เต็นท์หน้ากรมศิลปากร เข้าสู่พระบรมมหาราชวังต่อไป โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป ส่วนเต็นท์บริการต่างๆเริ่มทยอย ย้ายแล้วเช่นกัน ซึ่งทาง กอร.รส.จะส่งมอบพื้นที่ให้กระทรวงเกษตรฯภายในวันที่ 10 เม.ย
.
ที่หอประชุมกรมสรรพาวุธ ทหารบก (สพ.ทบ.) เช้าวันเดียวกัน พล.ท.อาวุธ เอมวงศ์ เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก พล.ต.ศักดา ศิริรัตน์ รองเจ้ากรม สพ.ทบ. เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมการคัดเลือกกำลังพล เพื่อปฏิบัติหน้าที่ฉุดชักราชรถ ในริ้วขบวนพระอิสริยยศ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มี พ.อ.อภิศักดิ์ เสมจร ผอ.กองกำลังพล สพ.ทบ. เป็นประธาน สำหรับบรรยากาศการคัดเลือกเป็นไปด้วยความคึกคัก เหล่ากำลังพลที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำจำนวนหลายร้อยนายที่ผ่านการคัดเลือกมาจาก 17 หน่วยงานในสังกัดสพ.ทบ. ตั้งแต่พนักงานราชการ ไปจนถึงนายทหารยศพันโท พร้อมใจเดินทางเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อปฏิบัติหน้าที่ครั้งสำคัญครั้งนี้ด้วยความภาคภูมิ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การคัดกำลังพลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ฉุดชักราชรถ สพ.ทบ.กำหนดไว้เพียง 435 นาย ประกอบด้วย ตำแหน่งกำกับพระมหาพิชัยราชรถ 1 นาย ฉุดชักพระมหาพิชัยราชรถ หน้า 172 นาย หลัง 44 นาย ควบคุมฉุดชัก พระมหาพิชัยราชรถ หน้า 1 นาย หลัง 1 นาย บังคับพระมหาพิชัยราชรถ 2 นาย กำลังพลสำรอง 30 นาย กำลังพลฉุดชักรถพระนำ หน้า 56 นาย หลัง 18 นาย กำกับราชรถพระนำ 1 นาย ผู้ควบคุม ฉุดชักราชรถพระนำ 1 นาย บังคับราชรถพระนำ 2 นาย กำลังพลประจำเกรินบันไดนาค ริ้วขบวนที่ 1 สู่ริ้วขบวนที่ 2 จำนวน 30 นาย ประจำเกรินบันไดนาค ริ้วขบวนที่ 2 สู่ริ้วขบวนที่ 3 จำนวน 30 นาย ชุดช่างซ่อมฉุกเฉิน รถพระนำและพระมหาพิชัยราชรถ 20 นาย ชุดช่างซ่อมฉุกเฉิน ราชรถปืนใหญ่ 25 นาย เป็นต้น

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือกกองกำลังพลสพ.ทบ.วางกรอบระเบียบไว้อย่างเข้มข้นรัดกุม อาทิ ส่วนสูงต้องไม่ต่ำกว่า 170 ซม. อายุไม่เกิน 48 ปี ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เนื่องจากต้องใช้พละกำลังที่จะต้องฉุดชักพระมหาพิชัยราชรถ น้ำหนักกว่า13 ตัน และราชรถพระนำ ที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 ตัน นอกจากนี้ กำลังพลทั้งหมดต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์ความพร้อมในด้านจิตใจด้วย อย่างไรก็ตามกำลังพล สพ.ทบ.ที่เข้ารับการคัดเลือกจำนวนมาก ต่างล้วนมีประสบการณ์เคยทำหน้าที่เป็นพลฉุดชักราชรถในงานพระราชพิธีมาก่อนทั้งสิ้น จากการสอบถามทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การทำหน้าที่ฉุดชักราชรถในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ถือเป็นเกียรติยศและความภูมิใจสูงสุดในชีวิตทหาร สพ.ทบ. ทุกคนอยากเข้าร่วม แม้ต้องผ่านการฝึกที่หนักเท่าใดก็พร้อม

พล.ท.อาวุธ เอมวงศ์ เจ้ากรม สพ.ทบ. เผยว่า กรมสรรพาวุธทหารบกได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญคือ การจัดกำลังพลเพื่อฉุดชักราชรถในขบวนพระอิสริยยศพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทางกรมจึงได้ทำการออกประกาศเวียนไปถึงหน่วยขึ้นตรงทุกหน่วย เชิญชวนให้กำลังพลมาสมัคร เบื้องต้นแต่ละหน่วยมีการคัดกรองกำลังพลมาแล้วส่วนหนึ่งก่อนที่จะส่งมาสมัครที่ส่วนกลาง หลังการคัดเลือกจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเกณฑ์ของผู้ที่จะได้ผ่านการคัดเลือก หลักการคือลักษณะท่าทาง ความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย ส่วนสูง น้ำหนัก เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในพระราชพิธีจำเป็นต้องใช้เวลามาก ขั้นตอนมาก และใช้ระยะเวลาในการฝึกที่นาน
เจ้ากรม สพ.ทบ.กล่าวด้วยว่า จากนั้นใน

...

ช่วงประมาณเดือน เม.ย. ทาง สพ.ทบ.จะจัดตั้งกองอำนวยการการฝึกขึ้นเพื่อเริ่มการคัดเลือกและฝึกครูฝึกก่อนเป็นอันดับแรก จะใช้กำลังพลที่ผ่านงานพระราชพิธีมาแล้วมาทำหน้าที่ครูฝึก เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ และในราวเดือน พ.ค.-มิ.ย.จึงจะมีการฝึกกำลังพลที่ สพ.ทบ. แนวทางเริ่มต้นคือ ฝึกลักษณะท่าทาง การหยิบเชือกฉุดชักราชรถ การวางเชือกฉุดชักราชรถ ท่ายืนตรง ท่าการถวายบังคม รวมทั้งสอนให้เข้าใจขั้นตอนของพระราชพิธี ฝึกการเดินและจำลองการลากราชรถในหน่วย เมื่อมีความพร้อมแล้วจึงจะนำไปฝึกที่ ร.11 รอ. โดยจะใช้รถทหารที่มีน้ำหนักหนักใกล้เคียงกับราชรถมาจำลองเป็นราชรถ ให้กำลังพลได้ซ้อมการออกแรงจริง ทั้งฝึกความอดทน

“ยอมรับว่า การได้รับมอบหมายในภารกิจที่สำคัญนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจและเกียรติยศสูงสุด ของกำลังพล สพ.ทบ. ทุกคนจึงมีความตั้งใจและทุ่มเทกันเป็นพิเศษ ทุกคนอยากเข้าร่วม หลายคนที่มาคัดเลือกวันนี้กลัวไม่ผ่านการพิจารณา แม้แต่นายทหารยศระดับพันเอก หรือแม้แต่ผมเองก็ยังอยากเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่สำคัญนี้ แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องปฏิบัติภารกิจอื่น อย่างไรก็ตามการคัดเลือกในวันแรกอาจยังไม่สมบูรณ์และอาจต้องมีการคัดเลือกเพิ่มเติมในครั้งต่อไป โดยกำลังพล ที่เคยผ่านพระราชพิธีมาก่อนอาจจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฝ่ายช่างที่มีความรู้ในกลไก และการบังคับราชรถ” พล.อ.อาวุธกล่าว

ด้าน พ.ต.สิทธิศักดิ์ ศรีนวลดี หัวหน้าครูฝึกกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ฉุดชักราชรถกล่าวว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่การฝึกทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกจะตัดภารกิจที่หน่วยมาขึ้นตรงกับกองอำนวยการฝึกโดยตรง การฝึกจะเน้นช่วงบ่ายที่มีแดดจ้า แม้พระราชพิธีจะมีช่วงเช้า แต่ต้องฝึกให้มีความอดทนต่อแดดไว้ก่อน หัวใจหลักคือเน้นให้สามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องสั่งให้ฝังในสายเลือด อาจเริ่มจากท่าเบื้องต้นทางทหารก่อน เช่น ท่าตรง ท่าพัก ท่าหัน จากนั้นเป็นท่าที่ใช้ในพระราชพิธี เช่น ท่าหยิบเชือก วางเชือก และท่าถวายบังคม รวมถึงท่าเดิน

...

“เนื่องจากงานนี้มีความสำคัญต่อ สพ.ทบ.มาก ในฐานะครูฝึก จะเก็บรายละเอียดข้อบกพร่องที่เคยเจอในพระราชพิธีอื่นมาปรับแก้ เพราะงานนี้จะไม่ให้มีข้อบกพร่องเลย จึงจะเพิ่มเนื้อหาในการฝึก ทั้งความเป็นระเบียบและการฝึกเรื่องพละกำลัง เพื่อให้ริ้วขบวนพระอิสริยยศมีความสง่างามและมีความพร้อมเพรียงที่สุด โดยการฝึกนอกสถานที่ พลฉุดชัก พระมหาพิชัยราชรถ จะได้ซ้อมกับรถบรรทุก หรือที่มีน้ำหนักใกล้เคียงราชรถ กลางแดด เพื่อสร้างความคุ้นเคย รวมระยะเวลาฝึกที่ตั้งไว้ต้องไม่ต่ำกว่า 3 เดือนเศษ ทุกคนต้องทุ่มเทการฝึกให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีเรื่องอื่นมากวนสมาธิ สำหรับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่คู่กับเกรินบันไดนาค ขณะนี้ได้มีการคัดเลือกไปก่อนแล้ว เพราะจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องช่างและมีประสบการณ์ในการแก้ไข

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศและบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศฯ ได้เห็นชอบแบบพระโกศทองคำลงยาทรงพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ 4 แบบ ประกอบด้วย 1.แบบที่ประดิษฐานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท 2.แบบสำหรับทูลเกล้าฯถวายสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแบบที่เขียนขึ้นใหม่โดยนายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กรมศิลปากร 3.แบบของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และ 4.แบบสำหรับพระราชธิดาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวด้วยว่า สำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจะระบุและกำหนดวันพระราชพิธีได้ ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อน ส่วนที่มีการเผยแพร่วันจัดพระราชพิธีในโซเชียลมีเดีย ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค. ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการระบุวันอย่างที่มีการเผยแพร่ออกมา ส่วนที่ตนรับผิดชอบ คือ พระเมรุมาศและราชรถ ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.แน่นอน ดังนั้น ตนพร้อมตั้งแต่เดือน ก.ย. หากมีการโปรดเกล้าฯมาก่อนหน้านั้น ก็พร้อมจะปรับให้เร็วขึ้นได้ ตอนนี้งานของตนทำล่วงหน้าไปกว่า 30% แล้ว

...

นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า สำนักช่างสิบหมู่ ได้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการจัดสร้างพระโกศทองคำลงยาทรงพระ บรมอัฐิ รัชกาลที่ 9 สำหรับทูลเกล้าฯถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งล่าสุดได้ลงสีแบบของพระบรมโกศ และดำเนินการจัดสร้างแบบจำลองเพื่อดำเนินการจัดสร้าง สำหรับแบบของพระบรมโกศทรงพระบรมอัฐิดังกล่าว จัดสร้างเป็นองค์พระโกศจําหลักด้วยทองคําลงยาประดับเพชร ฝาพระโกศทองจําหลักลงยาประดับเพชร ปักดอกไม้เพชรที่ชั้นเชิงบาตร 3 ชั้น ยอดปักพุ่มข้าวบิณฑ์ ดอกไม้เพชร ขอบฝาประดับเฟื่องอุบะ ดอกไม้เพชรทั้ง 8 เหลี่ยมห้อยจากดอกไม้ทิศประดับเพชร 8 ดอก ฐานพระโกศพิเศษที่เป็นชุดหน้ากระดานฐานสิงห์ มีครุฑยุดนาค ที่ท้องไม้บัวเชิงบาตร ใต้บัวปากฐาน 16 ตัว ท้องไม้บัวเชิงบาตรหลังครุฑยุดนาคมีเฟื่องอุบะห้อยประดับอยู่ จําหลักด้วยทองลงยาประดับเพชร บนบัวปากฐานประดับช่อดอกไม้เพชร 24 ช่อ

นายอนันต์กล่าวอีกว่า ในส่วนของหน้ากระดานฐานพระโกศจําหลักทองลงยา ความว่า “พระโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙” แต่ละเหลี่ยมมีโครงการในพระราชดําริ ในรัชกาลที่ 9 เช่น โครงการแกล้งดิน, กังหันชัยพัฒนา พระโกศทั้งองค์ลงยาด้วยสีเหลือง ขาว เป็นสีวัน พระบรมราชสมภพ สีเขียว เป็นเดชของวันพระบรม ราชสมภพ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประดิษฐานบนแท่นไม้ ปักฉัตรคันดาลทองคํา ลงยาขาว 9 ชั้นกั้นถวาย สำหรับฉัตรพระโกศระบายจำหลักฉลุทอง สาบผ้าขาว ลงยาขาวใส ประดับเพชร โดยทุกขั้นตอนดำเนินการอย่างประณีตเพื่อความสง่างามถึงพระเกียรติยศที่สุด