ผลโพลสำรวจความเห็นชาวอังกฤษต้องการ 'อยู่' หรือ 'ออกจาก' สหภาพยุโรป (อียู) พลิกแล้ว.. ฝ่ายอยากให้แยกจากอียูพุ่งแรง ขึ้นมาแซงเป็น 43% ครั้งแรก ขณะที่ วิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยทะลักเข้ายุโรป ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของชาวอังกฤษ มีถึงร้อยละ 29 เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรับผู้ลี้ภัยแม้แต่คนเดียว
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.58 สถาบันสำรวจ เซอร์เวชั่น (Survation) ซึ่งจัดทำโพลให้กับหนังสือพิมพ์เดอะ เมล (The Mail)ในอังกฤษ ได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นคนอังกฤษเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ต้องการอยู่ในสหภาพยุโรป(อียู)ต่อไป หรือต้องการออกจากสหภาพยุโรป? ก่อนที่รัฐบาลอังกฤษจะจัดให้มีการลงประชามติในปี 2560 ผลปรากฏว่า ร้อยละ 43 เห็นควรให้อังกฤษออกจากอียู ร้อยละ 40 เห็นควรให้ยังคงอยู่ในอียูต่อไป ขณะที่อีกร้อยละ 17 ยังไม่ตัดสินใจ จนนับเป็นครั้งแรกที่ผลโพลสำรวจความเห็นชาวอังกฤษออกมาว่า ต้องการแยกตัวจากอียูมากกว่า
การสำรวจดังกล่าวใช้วิธีสำรวจผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยมีผู้ลงความคิดเห็นจำนวน 1,004 คน ซึ่งผลออกมากลับแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ซึ่งผู้ถูกสอบถามส่วนใหญ่ต้องการคงอยู่ในอียูต่อไป นอกจากนั้น อีกร้อยละ 22 ที่ให้ความคิดเห็นยังระบุอีกด้วยว่า "อาจเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นได้ตลอดเวลา" ถ้าปัญหาวิกฤติผู้อพยพร้ายแรงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยร้อยละ 29 ของคนอังกฤษเห็นว่า "ไม่จำเป็นต้องรับผู้ลี้ภัยเลยแม้แต่คนเดียว" ขณะที่อีกร้อยละ 15 เห็นว่า "ควรรับผู้ลี้ภัยจำนวน 10,000 คน"
...
ก่อนหน้านี้ การสำรวจครั้งสุดท้ายของสถาบัน Survation เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ร้อยละ 45 เห็นว่าควรยังคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป และร้อยละ 37 เห็นว่าควรออกจากอียู ขณะที่อีกร้อยละ 18 ยังไม่ได้ตัดสินใจ โดยหนังสือพิมพ์ Mail ฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 ก.ย.58 ยังระบุอีกว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ได้เสนอให้มีการปรับรูปแบบของคำถามในการลงประชามติใหม่ เนื่องจากรูปแบบเดิมนั้นเอื้อต่อสถานะปัจจุบันมากเกินไป โดยแทนที่จะถามคำถามกับผู้ลงประชามติให้ตอบว่า Yes หรือ No ถ้าสหราชอาณาจักรจะยังคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อ ให้เปลี่ยนเป็นคำถามว่า "ยังคงเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป" หรือ "ออกจากสหภาพยุโรป"
นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ให้สัญญาว่าจะทำการลงประชามติภายในไม่เกินสิ้นปี 2560 แต่อาจจะจัดขึ้นในปีหน้า 2559 ก็ได้ ในขณะที่สมาชิกรัฐสภาอังกฤษจะต้องทำการร่างกฎหมายสำหรับการลงประชามติในวันจันทร์นี้ โดยนายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวว่า เขาเห็นด้วยที่อังกฤษจะยังคงอยู่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่ก็สามารถเปลี่ยนใจได้ หากว่าไม่ได้รับการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ก่อนหน้าแล้วกับประเทศสมาชิกอื่น