นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจครึ่งปีหลังว่า ยังคงมีความน่าเป็นห่วงค่อนข้างมาก ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือ 2% และมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าประมาณการได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจาก 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มต่ำกว่าการคาดการณ์ ปัจจัยแรกคือ การส่งออกในครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มขยายตัวต่ำหรือไม่ขยายตัวเลย เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ


ปัจจัยที่ 2 คือ จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัวลงมาก หลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน ต่อเนื่องด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตึกถล่ม ส่งผลให้การขยายตัวจากกว่า 20% ล่าสุดติดลบ 2% และล่าสุดความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจจะอยู่ที่ 35.5 ล้านคนเท่ากับปีก่อนหน้า ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบให้ความกระฉับกระเฉงในการออกนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจลดลง หรือขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ มีความยากลำบากมากขึ้น


“ที่น่าเป็นห่วงมากคือ เราเห็นกำลังซื้อของประชาชนหดหายไป เพราะเท่าที่ทราบยอดขายของร้านสะดวกซื้อในเดือน เม.ย. และ พ.ค. ไม่ดี ยอดขายห้างสรรพสินค้า ยอดรูดบัตรเครดิตก็ชะลอตัวลง และยังเห็นข่าวร้านอาหารมีคนมาทานอาหารนอกบ้านน้อยลง รวมทั้งการปิดโรงงานของภาคธุรกิจ ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงกว่าคาด กรณีเลวร้ายเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวที่ 1.5% ดังนั้น สิ่งที่ธนาคารพาณิชย์ต้องทำในปีนี้คือ ประคับประคองลูกค้าให้อยู่รอดต่อไปได้ เพราะเราไม่ได้อยากให้ลูกค้าล้มหายตายจากไป หากลูกค้าต้องการปรับตัว ต้องการหาตลาดใหม่ เพิ่มศักยภาพการผลิต หรือสินค้า ธนาคารกรุงเทพพร้อมที่จะดูแลเงินทุนในจุดนี้”

...


นายกอบศักดิ์แนะให้รัฐบาลอัดงบเร่งดึงนักท่องเที่ยวกลับมา ฟื้นความเชื่อมั่นผ่านมาตรการเชิงรุก พร้อมเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อรับมือความเสี่ยงทางการค้า ส่วนฝั่งนโยบายการเงิน ควรลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อพยุงกำลังซื้อและประคองเศรษฐกิจให้รอดจากภาวะถดถอย พร้อมฝากธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ป้องกันการแข็งค่าจนกระทบขีดความสามารถทางการแข่งขัน


“ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในจังหวะวิกฤตเช่นนี้ เพราะเครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มดับไปทีละตัว หากไม่เร่งฟื้นเครื่องที่ยังเหลือ อาจไม่ทันกู้วิกฤติได้ทันเวลา”