• งานวิจัยเรื่อง AI ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ AI จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์เป็นจำนวนราว 1 ใน 4 ของงานทั้งหมด ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป
  • ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ยังมีสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ นั่นคืองานที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของมนุษย์อย่างชัดเจน เช่น ความฉลาดทางอารมณ์และการคิดนอกกรอบ และการย้ายเข้าสู่บทบาทที่เน้นทักษะเหล่านี้ อาจช่วยลดโอกาสในการถูกแทนที่ได้
  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า งานที่ยังไม่ถูกครอบงำโดย AI ในปัจจุบันยังรวมถึงพยาบาล ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และนักข่าวเชิงสืบสวน เนื่องจากเป็นงานที่ต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้คน และแรงงานที่ใช้ทักษะ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างเชื่อม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะงานเหล่านี้เป็นงานประเภทที่คุณต้องรับมือกับสถานการณ์ใหม่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้เกิดความกังวลว่า บรรดาเครื่องจักรใหม่ๆ ตั้งแต่เครื่องทอผ้าไปจนถึงไมโครชิป อาจแแย่งงานมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันงานส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากฝีมือของมนุษย์แต่ตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า ความแพร่หลายของปัญญาประดิษฐ์ อาจกำลังภัยคุกคามกำลังเกิดขึ้นจริง แลหุ่นยนต์อาจกำลังเข้ามาแย่งงานจากมนุษย์

รายงานเมื่อเดือนมีนาคม 2023 จากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่มีความสามารถในการผลิตเนื้อหาต่างๆ จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์เป็นจำนวนราว 1 ใน 4 ของงานในปัจจุบัน รายงานระบุเพิ่มเติมว่า ทั้งในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา มนุษย์อาจต้องสูญเสียตำแหน่งงาน 300 ล้านตำแหน่งให้กับบรรดาระบบอัตโนมัติ และนั่นอาจเป็นเรื่องเลวร้าย

มาร์ติน ฟอร์ด ผู้เขียน Rule of the Robots: How Artificial Intelligence Will Transform Everything กล่าวว่า "มันไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่เพียงบุคคลเท่านั้น แต่อาจเกี่ยวข้องกับระบบทั้งระบบ" เขากล่าว "มันอาจเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก อาจจะค่อนข้างกะทันหัน อาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดในเวลาเดียวกัน และนั่นไม่ได้มีความหมายเฉพาะกับบุคคลเหล่านั้นเท่านั้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจทั้งหมดด้วย"

...

โชคดีที่นั่นไม่ใช่ข่าวร้ายทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญออกคำเตือนพร้อมข้อแม้ เพราะยังมีสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ นั่นคืองานที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของมนุษย์อย่างชัดเจน เช่น ความฉลาดทางอารมณ์และการคิดนอกกรอบ และการย้ายเข้าสู่บทบาทที่เน้นทักษะเหล่านี้ อาจช่วยลดโอกาสในการถูกแทนที่ได้

"ผมคิดว่าโดยทั่วไป มีงานสามประเภทที่จะไม่ได้รับผลกระทบในอนาคตอันใกล้" ฟอร์ด กล่าว "อย่างแรกคืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง คุณไม่ได้ทำงานที่มีสูตรสำเร็จหรือแค่จัดเรียงสิ่งต่างๆ ใหม่ แต่คุณกำลังคิดหาไอเดียใหม่ๆ และสร้างสิ่งใหม่ๆ อย่างแท้จริง"

นั่นไม่ได้แปลว่างานทั้งหมดที่ถูกมองว่ามีความ "สร้างสรรค์" จะปลอดภัย เพราะในความเป็นจริงแล้ว งานต่างๆ เช่น การออกแบบกราฟิกและงานทัศนศิลป์ อาจเป็นหนึ่งในงานแรกๆ ที่อาจไม่ต้องใช้มนุษย์ โดยอัลกอริทึมพื้นฐานสามารถสั่งให้บอตวิเคราะห์ภาพนับล้าน นั่นส่งผลทำให้ AI เกิดความเชี่ยวชาญด้านสุนทรียภาพในทันที แต่งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ประเภทอื่นๆ ก็มีความปลอดภัยอยู่บ้าง ฟอร์ด กล่าวว่า "ในทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และกฎหมาย คนที่มีหน้าที่คิดกลยุทธ์ทางกฎหมายหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ ผมคิดว่างานนั้นจะยังคงเป็นงานสำหรับมนุษย์ต่อไป"

เขากล่าวต่อว่า งานที่ได้รับการปกป้องจาก AI ประเภทที่สองคือ งานที่ต้องใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ซับซ้อน เขาชี้ไปที่พยาบาล ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และนักข่าวเชิงสืบสวน เขากล่าวว่า งานเหล่านี้คือ "งานที่คุณต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้คน ผมคิดว่าคงอีกนาน ก่อนที่ AI จะสามารถสร้างการโต้ตอบในรูปแบบต่างๆ ที่สร้างความสัมพันธ์ได้จริงๆ"

ส่วนงานประเภทที่สาม ฟอร์ด กล่าวว่า "เป็นงานที่ต้องใช้ความคล่องตัวและความคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก และความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้" ได้แก่ แรงงานที่ใช้ทักษะ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างเชื่อม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะงานเหล่านี้เป็นงานประเภทที่คุณต้องรับมือกับสถานการณ์ใหม่ตลอดเวลา" เขากล่าวเสริม "งานเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการเปลี่ยนให้เป็นระบบอัตโนมัติ ในการทำให้งานเหล่านี้สามารถดำเนินไปได้โดยอัตโนมัติ คุณจะต้องมีหุ่นยนต์จากนิยายวิทยาศาสตร์ คุณต้องมีหุ่นยนต์ C-3PO จากหนังเรื่องสตาร์วอร์ส"

แม้ว่ามนุษย์จะยังคงอยู่ในงานที่จัดอยู่ใน 3 ประเภทดังกล่าว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอาชีพเหล่านั้นจะถูกแยกออกจากการก้าวขึ้นมาของ AI โดยสิ้นเชิง ในความเป็นจริง โจแอน ซอง แมคลาฟลิน รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แรงงาน แห่งมหาวิทยาลัยบัฟฟาโล สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า งานส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด มีแง่มุมที่มีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีจะทำให้งานเหล่านั้นกลายเป็นระบบอัตโนมัติ

เธอกล่าวว่า "ในหลายกรณี งานจะไม่ได้รับผลกระทบในทันที แต่งานจะเปลี่ยนไป" งานของมนุษย์จะมุ่งเน้นไปที่ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากขึ้น แมคลาฟลิน กล่าวต่อว่า "เป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการว่า AI จะตรวจจับมะเร็งได้ดีกว่าที่มนุษย์ทำได้ ในอนาคตฉันคาดว่าแพทย์จะใช้เทคโนโลยีใหม่นั้น แต่ฉันไม่คิดว่าบทบาททั้งหมดของแพทย์จะถูกแทนที่"

แม้ว่าหุ่นยนต์อาจทำหน้าที่ค้นหามะเร็งได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องการให้แพทย์ ซึ่งเป็นคนจริงๆ เป็นผู้บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นเป็นเรื่องจริงสำหรับงานเกือบทั้งหมด ดังนั้น การพัฒนาทักษะของมนุษย์ที่โดดเด่นเหล่านี้ สามารถช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะทำงานควบคู่ไปกับ AI

"ฉันคิดว่าก็มีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะคิดจริงๆ ว่า 'งานประเภทใดในงานของฉันที่จะถูกแทนที่ หรือจะทำได้ดีกว่าด้วยคอมพิวเตอร์หรือ AI? และทักษะเสริมของฉันคืออะไร" โดยชี้ไปที่พนักงานธนาคาร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องนับเงินที่มีความแม่นยำมาก แต่ตอนนี้งานดังกล่าวถูกแทนที่ด้วยเครื่องนับเงินอัตโนมัติ แต่ก็ยังมีที่สำหรับพนักงานเก็บเงิน "งานนับเงินกลายเป็นงานที่ล้าสมัยเพราะเครื่องจักร แต่ตอนนี้ พนักงานเก็บเงินให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อกับลูกค้า และแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทักษะทางสังคมจึงมีความสำคัญมากขึ้น"

...

ฟอร์ด กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องทราบว่าการศึกษาขั้นสูงหรือตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูง ไม่ใช่สิ่งที่สามารถป้องกันการถูกครอบครองโดย AI "เราอาจคิดว่าคนที่ทำงานออฟฟิศ มีตำแหน่งสูงกว่าในห่วงโซ่อาหาร มากกว่าคนที่ขับรถเพื่อหาเลี้ยงชีพ" เขากล่าว "แต่อนาคตของพนักงานออฟฟิศนั้นถูกคุกคามมากกว่า เมื่อเทียบกับคนขับอูเบอร์ เพราะเรายังไม่มีรถยนต์ที่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ AI สามารถเขียนรายงานได้อย่างแน่นอน ในหลายกรณี พนักงานที่มีการศึกษาสูงจะถูกคุกคามมากกว่าคนงานที่มีการศึกษาน้อยที่สุดด้วยซ้ำ ลองนึกถึงคนที่ทำงานทำความสะอาดห้องพักในโรงแรม มันยากมากที่จะทำให้งานนั้นเป็นแบบอัตโนมัติ"

กล่าวโดยสรุปก็คือ การแสวงหาบทบาทในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงและตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงงานที่คาดเดาไม่ได้ เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการสูญเสียงานให้กับ AI อย่างน้อยก็ชั่วเวลาหนึ่ง.