- ศิลปะในยุคกลางจนถึงยุคคลาสสิก มักได้รับการว่าจ้างโดยเศรษฐี ชนชั้นสูง หรือศาสนา เช่น ภาพเหตุการณ์ทางคริสต์ศาสนา รูปปั้นพระเยซู หรือบาทหลวงคนสำคัญ ส่วนหนึ่งที่ศิลปะยุคก่อนถูกจำกัดเพียงเท่านี้ เพราะค่าใช้จ่ายในการผลิตงานศิลปะชิ้นหนึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตงานศิลปะถูกลง ทั้งผืนผ้าใบและหลอดสี ทำให้ศิลปินสามารถผลิตงานในรูปแบบที่ 'ไม่ต้องรับใช้ใคร' ได้ง่ายขึ้น
- ยุค Impressionism เป็นการทำงานขัดต่อขนบ และเชื่อในการเปลี่ยนแปลงว่าศิลปินสามารถสร้างผลงานได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดหัวข้อหรือเรื่องราว
จากเหตุการณ์คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เก็บผลงานของนักศึกษาสาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ (Media Art and Design) ใส่ถุงดำโดยพลการ เมื่อวันจันทร์ จน ผศ.ทัศนัย เศรษฐเสรี ศิลปินและอาจารย์ประจำสาขา Media Art ได้เข้ามาช่วยนักศึกษาเจรจากับคณบดี จนนำมาสู่คำพูดตรึงใจว่า “ศิลปะไม่เป็นนายใคร และศิลปะไม่เป็นขี้ข้าใคร”
ประโยคนี้ของอาจารย์ทัศนัยไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เพราะ ‘ศิลปะที่รับใช้ใคร’ นั้นเริ่มตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 แล้ว
...
ผลงาน Le dejeuner sur l’herbe โดย เอดูวาร์ด มาเนต์ (Eduard Manet) ในปี 1862-1863 ภาพจิตรกรรมที่นับว่าพิลึกพิลั่นในยุคที่มาเนต์ได้สร้างมา เพราะว่าภาพนั้นไม่เล่าเรื่องที่สามารถจับใจความได้เลย หญิงสาวเปลือยกายนั่งอยู่กับชายอีกสองคนที่แต่งตัวเรียบร้อย ราวกับเป็นการตัดแปะภาพจากยุคคลาสสิกที่เอารูปนู้ดมาแปะกับรูปสมัยใหม่ มีชายชาวยุโรปใส่สูทเต็มยศ ทุกคนในภาพไม่มองหน้ากันและกัน ไม่มีความเชื่อมโยงกัน ผู้ชมไม่สามารถเดาบทสนทนาที่เกิดในภาพได้ หรือกระทั่งเหตุการณ์ในภาพที่คาดเดาได้ว่าเป็นการชวนโสเภณีมาเล่นน้ำ ซึ่งการวาดโสเภณีก็นับเป็นเรื่องอัปยศของศิลปินในยุคนั้นแล้ว และไม่เพียงแค่เรื่องราวในภาพ ฝีแปรงที่วาดก็หยาบกระด้าง ไม่ชัดเจน ขัดกับขนบการเขียนภาพจิตรกรรมในยุคเดียวกัน
แต่การสร้างผลงานจิตรกรรมแบบนั้นขึ้น เอดูวาร์ด มาเนต์ ได้คำนวณมาถี่ถ้วนแล้ว เพราะเขาจงใจให้ขัดกับขนบการวาดทั้งหมด เพื่อตั้งคำถามถึงศิลปะที่จำเป็นต้องเป็นไปตามขนบนั่นเอง
ช่วงศตวรรษที่ 19 สถาบันคัดกรองศิลปะมีเพียงแห่งเดียว คือ École des Beaux-Arts หรือโรงเรียนศิลปะในกรุงปารีส มีหน้าที่ตัดสินผลงานต่างๆ การมีสถาบันเดียวเกิดเป็นปัญหา เพราะผลงานหลายชิ้นที่ไม่ผ่านเกณฑ์เพียงเพราะเหตุผลเล็กน้อย หรือเพราะเหตุผลทางการเมืองในฝรั่งเศส
สิ่งที่มาเนต์ทำเป็นจุดเปลี่ยนแห่งวงการศิลปะ ที่เริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจะต้องเป็นไปตามกฎ หรือกติกาบางอย่างที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
แน่นอนว่าศิลปะในยุคกลาง ต่อไปเรอเนสซองส์ จนถึงยุคคลาสสิก มักได้รับการว่าจ้างโดยเศรษฐี ชนชั้นสูง หรือศาสนา เช่น ภาพเหตุการณ์ทางคริสต์ศาสนา รูปปั้นพระเยซู หรือบาทหลวงคนสำคัญ ดังที่จะเห็นได้ตามโบสถ์ ศาสนสถาน หรือในราชวงศ์และที่พักอาศัยของชนชั้นสูง ที่เต็มไปด้วยภาพเหมือนของกษัตริย์ ราชวงศ์ ขุนนาง และชนชั้นสูง
ส่วนหนึ่งที่ศิลปะยุคก่อนถูกจำกัดเพียงเท่านี้ เพราะค่าใช้จ่ายในการผลิตงานศิลปะชิ้นหนึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และศิลปินเองก็ไม่ได้ทำงานแค่คนเดียว ศิลปิน โดยเฉพาะ Old Master จึงทำงานเป็นสตูดิโอ มีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ แลกกับสอนการเขียนภาพในฐานะศิษย์ภายใต้สังกัดตัวเอง ไม่ต่างจากนายช่างต่างๆ
อุปกรณ์ วัสดุ และสีต่างๆ ก็มีมูลค่าสูงมาก เช่น สีแดงเลือดนก ที่สกัดจากปีกแมลง Cochineal มีราคาสูงรองจากทองและเพชรพลอยในช่วงศตวรรษที่ 16 ส่วนสีน้ำเงินที่ได้มาจากแร่ Lapis Lazuli ก็มีราคาสูงมาก ว่ากันว่า สีน้ำเงินนี้เป็นเหตุให้ โยฮันส์ เวอร์เมียร์ (Johannes Vermeer) ผู้วาดภาพ Girl with a Pearl Earrings ต้องเป็นหนี้มหาศาล
ดังนั้น การครอบครองงานศิลปะในสมัยก่อนไม่ได้มีเพื่อแสดงรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่ผลงานศิลปะที่ว่าจ้างให้ศิลปินสร้างขึ้นมานั้นมีไว้เพื่อแสดงความมั่งคั่งของผู้ว่าจ้างเหล่านั้นด้วย
...
ค่าใช้จ่ายในการสร้างผลงานศิลปะเริ่มลดลงเมื่อยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาถึง ผ้าที่ถูกผลิตออกมาทำให้ศิลปินสามารถสร้างผืนผ้าใบในการสร้างผลงานได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการผลิตสีหลอด ที่ทำให้ศิลปินไม่จำเป็นต้องผสมสีเอง เพียงแค่บีบออกจากหลอดก็สามารถระบายได้เลย ทั้งยังมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับการหาวัตถุดิบจากที่กล่าวมาข้างต้น
ลัทธิที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมนี้ก็เป็นหนึ่งในลัทธิที่หลายคนรักและรู้จัก นั่นก็คือ Impressionism ซึ่งถือกำเนิดมาช่วงปลายศตวรรษที่ 18
ลัทธิ Impressionism เองก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่เป็นการสร้างผลงานศิลปะโดยการเป็น ‘ขี้ข้า’ ใคร เพราะกลุ่ม Impressionism นี้ รวมตัวกันจัดแสดงผลงานศิลปะด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งโรงเรียนหรือสถาบันศิลปะ ผู้กำหนดทิศทางศิลปะในปารีส l’Ecole des Beaux Artes ซึ่งมักมีแนวทางผลงานชัดเจน มีกรรมการตัดสินว่าผลงานศิลปะชิ้นไหนควรจัดแสดง ดังที่กล่าวไปแล้วถึงผลงาน Dejeuner sur l’herbe ซึ่งอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน
สิ่งที่ลัทธิ Impressionism ทำ คือการขัดต่อขนบ และเชื่อในการเปลี่ยนแปลงว่าศิลปินสามารถสร้างผลงานได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดหัวข้อหรือเรื่องราว เพียงแค่รังสรรค์จิตรกรรมที่มาจากความประทับใจ หรือความทรงจำเพียงชั่วครู่เท่านั้น มิจำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาหรือประวัติศาสตร์ สำหรับศิลปินลัทธิ Impressionism เช่น คลอด โมเนต์ (Claude Monet) หรือ วินเซนต์ แวนโกะห์ ผู้คนธรรมดาก็สามารถปรากฏใบหน้าในผลงานศิลปะได้
...
ศิลปะไม่หยุดนิ่ง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เฉกเช่นสังคมและชุดความคิดที่ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนวันนี้เราอยู่ในยุคที่อะไรๆ ก็เป็นศิลปะได้ เช่นผลงาน Fountain อันโด่งดังของ มาร์แซล ดูชอมป์ (Marcel Duchamp) หรือกล้วยแปะผนังที่เป็นข่าวโด่งดัง โดยศิลปินจอมแสบ เมาริซิโอ คัตเตลัน (Maurizio Cattelan) ไปจนถึงผลงานภาพวาดกราฟิตี้ของศิลปินที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าอย่าง Banksy
...
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ศิลปะร่วมสมัยต่างอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ เสรีภาพในการแสดงออก
โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) เคยกล่าวว่า “Everyone is an artist” หรือ “ทุกคนเป็นศิลปิน” ต่อยอดมาจากไอเดียเรื่อง Social Sculpture ของเขาที่กล่าวว่า ไม่ใช่เพียงใครๆ ก็เป็นศิลปินได้ แต่ทุกคนเองต่างมีอำนาจหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสังคม ประหนึ่งว่าโลกที่เราอยู่นั้นเป็นประติมากรรมชิ้นใหญ่ ดังจะเห็นได้ในผลงาน 7,000 Oak Trees ผลงานที่บอยส์สร้างในเทศกาล Documenta ที่เยอรมนี ในปี 1982 ซึ่งใช้ระยะเวลายาวนานกว่าห้าปี โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นโอ๊ค 7,000 ต้นในเมืองคาสเซิล ประเทศเยอรมนี
การปลูกต้นโอ๊คไม่เพียงสร้างความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ แต่มันได้สร้างความตระหนักถึงผังเมืองและความเป็นอยู่ของคนในเมืองจากการปลูกต้นไม้มหาศาลนี้เช่นกัน
ในเมื่อ “Everyone is an artist” แล้วทำไมคณาจารย์ศิลปะจึงเลือกทิ้งผลงานศิลปะของนักศึกษาตัวเอง ประหนึ่งว่าผู้คนเหล่านั้นมองไม่เห็นว่าผลงานนั้นเป็นศิลปะ หรือแม้แต่นักศึกษาเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะสร้างผลงานศิลปะขึ้นมาได้ หรือมองว่าขยะนั้นไม่สามารถเป็นผลงานศิลปะได้
ศิลปินหลายคนสร้างผลงานจากสิ่งของเหลือใช้ เช่น My Bed ของ เทรซีย์ เอมิน (Tracey Emin) ในปี 1998 ที่จัดแสดงเตียงที่เธอใช้หลับนอนโดยไม่ลุกไปไหน และดื่มแต่แอลกอฮอล์เป็นเวลาสี่วัน และไม่ได้มีแค่เตียง เธอยังจัดแสดงโต๊ะข้างเตียงและพรมที่เต็มไปด้วยขยะจากการใช้ชีวิตของเธอ ตั้งแต่ซองบุหรี่ ก้นบุหรี่ ขวดวอดก้า เศษทิชชู แพ็กยา ชุดตรวจตั้งครรภ์ ไปจนถึงเสื้อผ้าเปื้อนประจำเดือน
การแสดง ‘เตียงของฉัน’ อาจฟังดูไร้สาระ แต่หากวิเคราะห์ดูแล้ว สิ่งที่เทรซีย์ทำ คือการล้มล้างความเชื่อเกี่ยวกับผู้หญิงว่าต้องสะอาดเรียบร้อย เพราะเธอเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และเลือกแสดงชีวิตของเธอผ่านหลักฐาน นั่นคือเตียงที่ถูกจัดให้อยู่ในฐานะผลงานศิลปะนั่นเอง
แม้จะมีนักวิจารณ์หลายต่อหลายคนกล่าวหาว่าผลงานของ เทรซีย์ เอมิน ว่าช่างไร้ฝีมือและเป็นสิ่งที่ “ใครๆ ก็ทำได้” เธอตอบกลับคำวิจารณ์เหล่านี้ว่า “แล้วทำไมพวกคุณไม่ทำซะล่ะ?”
ศิลปะมีพลังในการแสดงถึงหลักฐานบางอย่าง หรือเป็นคำยืนยันบางอย่าง ด้วยเหตุนี้ ทำให้อะไรก็เป็นศิลปะได้ แล้วทำไมเราถึงคิดว่าการ ‘ทิ้งงานศิลปะ’ ยังเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่อีก?
เสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพของศิลปิน เป็นส่วนสำคัญของศิลปะ และเป็นสิ่งผลักดันศิลปะให้มาอยู่ในจุดที่เราเห็นทุกวันนี้ หากศิลปะมัวแต่เป็นข้ารับใช้ของใคร และหากศิลปินมัวแต่คอยห้ามมิให้ใครมาว่ากล่าวผลงานของตัวเองแล้ว ก็ไม่มีทางที่ศิลปะจะเป็นอย่างทุกวันนี้
ศิลปะต่างปลดตัวเองออกจากโซ่ตรวนทางความคิด หรืออำนาจใดๆ เพื่อตั้งคำถามต่อสังคมที่เราอยู่ สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ
ศิลปะที่ดีจึงมิใช่ศิลปะที่มัวแต่เยินยอใครหรือสิ่งใด แต่คือศิลปะที่เปิดให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในชีวิตประจำวัน.