- สัญญาณเตือน "โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด"
- วิธีการรักษาหลักของโรค
- การปฏิบัติตัวภายหลัง การจัดท่าหินปูนให้เข้าตำแหน่งแล้ว ไม่ให้หลุดใหม่
เมื่อพูดถึงอาการบ้านหมุน นอกจาก "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน" แล้วนั้น หลายท่านคงเคยได้ยิน "โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด" ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อย แต่คำถามคือ หินปูนมาจากไหน หลุดได้อย่างไร และจะต้องรักษาภาวะแบบไหน ทางด้าน นพ.ชาญสิริ เสกสรรค์วิริยะ โสต ศอ นาสิกแพทย์ ได้ให้ความรู้เรื่องโรคดังกล่าวต่อ "กนก" ดังนี้
สำหรับหูของคนเรานั้น แบ่งส่วนประกอบเป็น 3 ชั้น คือ 1. หูชั้นนอก ประกอบด้วยใบหูและช่องรูหู 2. หูชั้นกลาง ซึ่งประกอบด้วยกระดูกค้อน ทั่ง และโกลน ทำหน้าที่ในการนำเสียง และ 3. หูชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุด ซึ่งมีอวัยวะรับเสียง (เป็นวงคล้ายก้นหอย) และอวัยวะที่ทำหน้าที่รับรู้การทรงตัว
ขณะที่ อวัยวะรับรู้การทรงตัวในหูชั้นใน มีหลายประเภท ได้แก่ อวัยวะท่อครึ่งวงกลม (Semicircular canals) ในหูแต่ละข้าง จะมี 3 ท่อ วางตัวตั้งฉากกัน ซึ่งภายในจะมีน้ำเคลื่อนที่ไป-มา ทำหน้าที่รับรู้การทรงตัว เมื่อคนเราหันหน้าไปมา เงยหน้า ก้มหน้า เปลี่ยนท่าทาง น้ำภายในท่อจะมีการเคลื่อนไหว การรับรู้นี้จะถูกสั่งการไปยังสมองและลูกตา ทำให้เราทรงตัวได้อย่างราบรื่น ไม่มีอาการเวียนหัว
...
รวมทั้งอวัยวะที่มีหินปูนอยู่ภายใน (Otolith organs) จะมีหินปูนปริมาณมากมาย (ทุกคนมีแต่แรกเกิด) เคลื่อนที่กลิ้งไปมา บนเส้นขนเล็กๆ ทำหน้าที่รับรู้เมื่อคนเราเคลื่อนที่ ในแนวดิ่ง เช่น ขึ้น-ลงลิฟต์ และในแนวราบ เช่น นั่งรถ เดินหน้า-ถอยหลัง ซึ่งปกติแล้วหินปูนนี้จะเคลื่อนที่โดยกลิ้งไปมาตามการเคลื่อนไหว โดยที่ไม่หลุดออกจากตำแหน่ง
แต่หากมีสาเหตุ ทำให้มีตะกอนหินปูนเคลื่อนหลุดจากตำแหน่งแล้ว หินปูนนี้จะหลุดเข้าไปในอวัยวะท่อครึ่งวงกลม เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะในบางท่าทาง หินปูนเหล่านี้จะเคลื่อนที่ตามแรงโน้มถ่วง ทำให้การรับรู้การทรงตัวผิดไป ทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือบ้านหมุนได้ เราเรียกว่า โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (BPPV)
สำหรับสาเหตุที่ว่า ทำไมหินปูนถึงหลุดจากตำแหน่งนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็มีสาเหตุที่พบได้ เช่น อุบัติเหตุ กระทบกระแทกบริเวณศีรษะ การเคลื่อนไหวศีรษะซ้ำๆ ก้มเงยบ่อยๆ หรือความเสื่อมตามอายุ โดยมักพบในคนวัย 40-50 ปี หรืออายุมากกว่านั้น และมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า
ส่วนสัญญาณเตือน โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด คือมีอาการบ้านหมุน เวียนศีรษะ หรือโคลงเคลง เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะ เช่น ลุกจากที่นอน ล้มตัวลงนอน เงยหน้าหรือก้มหน้าหยิบของ พลิกตะแคงขณะนอน แต่จะมีอาการไม่นาน เกิดขึ้นเพียงวินาทีหรือนาทีเท่านั้น โดยขณะมีอาการ อาจมีการคลื่นไส้ อาเจียน หรือใจสั่นร่วมด้วย แต่มักไม่มีอาการหูอื้อ เสียงดังในหู ไม่มีอาการอ่อนแรง แขน ขา หรือพูดไม่ชัด
ทั้งนี้ การวินิจฉัย เมื่อมาพบแพทย์ อันดับแรกสุด แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายทางระบบประสาทโดยละเอียด เพื่อยืนยันว่าอาการเวียนหัวหรือบ้านหมุนนี้ ไม่ได้เกิดจากโรคในสมองหรือระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นภาวะอันตรายและต้องรีบรักษาเร่งด่วน เมื่อตัดสาเหตุดังกล่าวแล้ว แพทย์จะตรวจภายในช่องหู และระบบการทรงตัว
สำหรับการตรวจเพื่อยืนยันโรคนี้ แพทย์จะทำการตรวจด้วย "วิธีดิกซ์-ฮอลไปค์" (Dix-Hallpike maneuver) เป็นการตรวจโดยให้ผู้ป่วยล้มตัวนอนอย่างรวดเร็ว ในท่าตะแคงศีรษะและเงยศีรษะเล็กน้อย ในขณะทำการตรวจ แพทย์จะสังเกตการเคลื่อนไหวหรือการกระตุกของลูกตา การทดสอบจะทำทั้งสองข้าง เพื่อยืนยันตำแหน่งที่มีหินปูนเคลื่อนหลุด ซึ่งมักเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หรือการส่งตรวจอื่นๆ หากมีความจำเป็น เช่น การตรวจการได้ยิน หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
วิธีการรักษาหลักของโรคนี้ คือ
- การจัดท่าให้ตะกอนหินปูนกลับเข้าตำแหน่งปกติ (Repositional procedure) โดยแพทย์จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป ตามตำแหน่งที่หินปูนเคลื่อนหลุด ซึ่งจากการศึกษาพบว่าทำให้อาการเวียนหัวหรือบ้านหมุนดีขึ้น อาการหายเร็วขึ้น เกิดประโยชน์สูงสุด หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น
- อาจพิจารณางดเว้นการรักษาด้วยวิธีนี้ในบางราย เช่น ผู้ที่มีปัญหากระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง
...
- การรักษาด้วยยา เช่น ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ ยาเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหูชั้นใน หรือยาช่วยนอนหลับ ซึ่งแพทย์อาจให้ยาเหล่านี้รับประทานร่วมด้วยระยะสั้นๆ ภายหลังการจัดท่าทางแล้ว
- การผ่าตัด จะพิจารณาในผู้ที่รักษาด้วยยาหรือจัดท่าทางแล้วไม่ได้ผล และมีอาการที่รุนแรง
การปฏิบัติตัวภายหลังการจัดท่าหินปูนให้เข้าตำแหน่งแล้ว ไม่ให้หลุดใหม่ (1-2 สัปดาห์)
- หลีกเลี่ยงการก้ม-เงยศีรษะ เช่น ก้มหรือเงยหน้าหยิบของ สระผมตามร้าน นอนทำฟัน
- หลีกเลี่ยงการหันศีรษะไวๆ
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง ด้านที่มีการหลุดของหินปูน
- หลีกเลี่ยงออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ แอโรบิก
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
- หลีกเลี่ยงการขับรถ หรือทำงานควบคุมเครื่องจักร อย่างน้อย 2 สัปดาห์จนอาการควบคุมได้ เนื่องจากภายหลังการรักษาอาจหลงเหลืออาการเวียนหัวหรือบ้านหมุนได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย.
...
ผู้เขียน : กนก โฆษกสุขภาพ
กราฟิก : Sathit chuephanngam