ขับเร็ว เบรกไม่ทัน เกิดอุบัติเหตุชนปะทะรุนแรง สูตรสำเร็จของความประมาทสำหรับนักขับที่ลืมคิดคำนึงถึงความปลอดภัย ทุกวันนี้ยังมีผู้ใช้รถยนต์จำนวนมากที่เข้าใจเอาเองว่าระยะเบรกกับระยะของการหยุดรถเป็นระยะเดียวกันหรือเหมือนกัน จากความเข้าใจที่ผิดพลาดทำให้เกิดกรณีเบรกไม่อยู่แล้วนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรงจนบางรายถึงกับบาดเจ็บสาหัส พิการหรือเสียชีวิต การเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระยะของการเบรกทำให้เบรกไม่ทัน หยุดรถไม่อยู่จนพาตัวเองและครอบครัวเข้าไปสู่กับดักแห่งอันตราย ระยะเบรกจะมากหรือน้อยแค่ไหนไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่เรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดก็คือ ระยะที่คุณสามารถหยุดรถได้ทันต่างหากที่มีความสำคัญเมื่อต้องขับรถใช้ถนน
...
ระยะของการเบรกเป็นส่วนหนึ่งของระยะการหยุดรถ ขณะขับขี่ไม่จำเป็นต้องใช้เบรกตลอดทางทุกครั้งที่เห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นตัวแปรบนถนนที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การเบรกที่ปลอดภัยก็คือการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลเพื่อคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วคุณจะจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างไร มากกว่าจะไปแบบไม่ยั้งคิดแล้วไปวัดดวงเอาข้างหน้า หากมีอะไรตัดหน้าก็คิดว่าเบรกน่าจะเอาอยู่ ในช่วงที่สมองของคุณกำลังประมวลผลแล้วสั่งให้เหยียบเบรก จะเป็นเวลาเสี้ยววินาทีที่สูญเสียไปกับความคิดก่อนจะตัดสินใจ คุณจะสูญเสียระยะทางของการเบรกที่ปลอดภัยไปครึ่งหนึ่ง ยิ่งขับเร็วมากเท่าไรก็จะยิ่งเสียระยะทางของการเบรกไปมากเท่านั้นเป็นเงาตามตัว
...
ระยะคิดและระยะเบรก กลายเป็นตัวแปรที่มีความผกผัน แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ระยะคิดและระยะเบรกเพิ่มขึ้นหรือลดลง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ใช้ สภาพยาง สภาพผิวถนน และสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงระยะคิดและระยะเบรกใหม่ด้วยประสบการณ์ของการขับ หรือคิดคำนึงด้วยมุมมองของการขับขี่ที่อิงความปลอดภัยเป็นหลักจะมีผลโดยตรงต่อการหยุดรถของคุณได้ทันท่วงที สมาธิที่หลุดหายระหว่างการขับ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือเสพยาเสพติด ทำให้เบรกไม่ทันนั้นเกิดขึ้นไม่น้อย ความพร้อมของร่างกายและจิตใจก่อนใช้รถยนต์ย่อมมีผลต่อการคิดและการตัดสินใจ คนที่มีสมาธิในการขับจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าย่อมตัดสินใจได้เร็วกว่าคนที่ขาดสมาธิหรือเกิดอาการอ่อนเพลียเหน็ดเหนื่อย เมา เสพยาเสพติด หรือมีอารมณ์ก่อนขับที่ขุ่นมัว รวมไปถึงสิ่งเร้าต่างๆ สามารถรบกวนสมาธิได้ตลอดเวลา พยายามทำให้ร่างกายมีความปกติมากที่สุดก่อนขึ้นไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ไม่ดื่มหรือเสพอะไรที่จะทำให้เกิดความมึนเมา หรือขจัดอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกไปก่อนการควบคุมรถยนต์ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรขับรถอย่างเด็ดขาด
...
ความเร็วเป็นอุปสรรคต่อระยะคิด ถ้ามีเวลาเท่ากัน แต่มีความเร็วต่างกัน ระยะคิดก็จะต่างกัน เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูง ระยะคิดจะทำให้เสียระยะทางของการเบรกเพิ่มมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ขับมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่จะต้องใช้เบรก ถ้าใช้เวลาในการตัดสินใจ 0.75 วินาที จะเสียระยะทางมากถึง 20 เมตร เมื่อขับที่ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วเกิดอะไรตัดหน้าที่จะต้องใช้เบรกเต็มกำลัง ใช้เวลาคิดตัดสินใจเท่ากันที่ 0.75 วินาที จะเสียระยะเบรกไปแค่ 12 เมตร ห่างกันถึง 8 เมตร เป็นระยะที่ตัดสินความเป็นความตายได้เลยทีเดียว
มาดูตารางของการใช้ความเร็วที่ผกผันโดยตรงกับระยะของการเบรกกันดีกว่าครับ
...
ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะรับรู้และตัดสินใจ 2 วินาที เสียระยะเบรกไปแล้ว 8 เมตร ระยะเบรกจนรถหยุด 10 เมตร ระยะทางสำหรับการหยุดรถ 18 เมตร
ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะรับรู้และตัดสินใจ 2 วินาที เสียระยะเบรกไปแล้ว 12 เมตร ระยะเบรกจนรถหยุด 22 เมตร ระยะทางสำหรับการหยุดรถ 34 เมตร
ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะรับรู้และตัดสินใจ 2 วินาที เสียระยะเบรกไปแล้ว 16 เมตร ระยะเบรกจนรถหยุด 38 เมตร ระยะทางสำหรับการหยุดรถ 54 เมตร
ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะรับรู้และตัดสินใจ 2 วินาที เสียระยะเบรกไปแล้ว 20 เมตร ระยะเบรกจนรถหยุด 60 เมตร ระยะทางสำหรับการหยุดรถ 80 เมตร
ตารางเปรียบเทียบแรงปะทะที่เกิดจากการชนในย่านความเร็วต่างๆ (จากน้อยไปหามาก)
เมื่อชนปะทะที่ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเท่ากับการตกจากที่สูงประมาณตึก 5 ชั้น
เมื่อชนปะทะที่ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเท่ากับการตกจากที่สูงประมาณตึก 8 ชั้น
เมื่อชนปะทะที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเท่ากับการตกจากที่สูงประมาณตึก 13 ชั้น
เมื่อชนปะทะที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเท่ากับการตกจากที่สูงประมาณตึก 20 ชั้น
ลดความเร็วเพื่อเบรกให้ทันดีกว่านะครับ ขับด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดจะปลอดภัยมากกว่าการใช้ความเร็วตามอำเภอใจ โดยเฉพาะในเขตเมืองนั้นขับเร็วอันตรายครับ.
ยักษ์เขียว