ในยุค 4.0 ก็มีการพัฒนาในหลายๆ ด้าน แม้กระทั่งมีแอปฯ หรือเฟซบุ๊ก ที่เพิ่มการไลฟ์สด ให้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ แต่เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์และทันสมัยนี้เอง กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อบางคนเลือกส่งภาพความสะเทือนใจ ไลฟ์สดทำร้ายร่างกาย หรือคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งมีข่าวทุกปี
ย้อนไปต้นปี 61 เวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 2 ม.ค.61 เกิดเหตุสะเทือนความรู้สึกต่อผู้คนในสังคม เมื่อนางสาวนิตยา สวัสดิวรรณ หรือ น้องเคลียร์ หญิงสาววัยรุ่นอายุ 18 ปี สภาพมึนเมาและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ไลฟ์สดบนสะพานพระราม 8 ก่อเหตุฆ่าตัวตาย ด้วยการโดดลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ต่อมาวันที่ 22 เม.ย. 61 เกิดเหตุ “เอ็ม ชัยชนะ” ไลฟ์สดทำร้ายร่างกาย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ทำร้ายแฟนสาวเจ็บสาหัส น่วมไปทั้งตัว ศีรษะแตก หน้าตาบวมปูด นิ้วหวิดขาด กักขังอยู่ในห้องพักหรูย่านนวมินทร์ เจ้าหน้าที่รุดเข้าเกลี้ยกล่อม สุดท้ายต้องพังประตูบุกเข้าช่วยเหยื่อ รวบแฟนหนุ่มโหดจับตรวจฉี่เป็นสีม่วง สารภาพเครียดแฟนสาวปันใจให้หนุ่มอื่นและธุรกิจล้มเหลว
...
และเมื่อ 14 ก.ย. 2561 เสี่ยเกาะเต่าหนุ่มใหญ่วัย 48 เจ้าของร้านดำน้ำบนเกาะเต่า กิจการมีปัญหา ทะเลาะกับภรรยา ล็อกบ้าน ล็อกห้อง ไลฟ์สดโดยเห็นปืนวางข้างตัว เมียแจ้งญาติไปช่วย สุดท้ายยิงตัวตายบนเตียง
กับเหตุล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 61 เวลา 12.00 น. ผู้การชลบุรี เห็นหญิงสาวไลฟ์สดทำทีจะผูกคอตายโยงกับคานไม้ภายในบ้าน ในอ.เมืองชลบุรี สั่งตำรวจรีบไปเกลี้ยกล่อมช่วยเหลือได้ทัน ก่อนนำตัวมาอบรม ชี้ คงเกิดความเครียดจากปัญหาภายในครอบครัว การเงิน และทะเลาะแฟน...
ชนวนเหตุของการไลฟ์สดหวังปลิดชีพที่บางคนก็ทำได้สำเร็จ บางรายก็รอดหวุดหวิดดังที่ทีมข่าวฯ ยกตัวอย่างไปแล้วนั้น ลึกๆ แล้วอาจจะเป็นการสื่อความหมายร้องขอแสงสว่างความช่วยเหลือหรือเปล่า?
เราจะรู้ หรือมีสัญญาณเตือนจากคนใกล้ตัวอย่างไร ที่อาจอยู่ในภาวะ หวังให้ ‘การฆ่าตัวตาย’ เป็นทางออกสุดท้ายของชีวิต วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พาไปร่วมถอดบทเรียน เพื่อหาคำตอบ
ไม่เข้าข่ายจิตเวช สถิติการฆ่าตัวตายคงที่
“คนที่ไลฟ์สดเพื่อฆ่าตัว มีหลายแบบ อยากสื่อสารให้คนรู้ว่าเป็นทุกข์ หรืออยู่ในท่ามกลางความสับสน ตัดสินใจไม่ได้ มีได้ทุกแบบ จะสรุปเป็นแบบใดแบบหนึ่งไม่ได้ และไม่ถือเป็นโรคจิตเวช แต่อาจจะมีโรคที่ทำให้ต้องทำอย่างนั้น เช่น ซึมเศร้า เป็นความพยายามของคนไข้ที่จะสื่อสาร” นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข อธิบายชนวนแห่งการไลฟ์เพื่อปลิดชีพ
ส่วนสถิติการฆ่าตัวตายไม่ได้เพิ่มขึ้น อยู่ในระดับคงที่ 6 ต่อแสนประชากร ด้วยปัจจุบันที่สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและรวดเร็ว ด้วยสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก จึงทำให้รู้สึกเหมือนมีตัวเลขการฆ่าตัวตายมากขึ้น
2 ปมฆ่าตัวตาย หลักการช่วยที่ถูกต้อง ยึดหลัก 5 อย่า 3 ควร
ซึ่งปมเหตุของการคิดฆ่าตัวตายนั้น นพ.ยงยุทธ ระบุว่าเกิดจาก 2 กลุ่ม คือ หนึ่ง โรคซึมเศร้า สอง ปฏิกิริยาทางอารมณ์จากความเครียด หรือความผิดหวังที่รุนแรง โดยที่ไม่มีโรคซึมเศร้า ซึ่งการไลฟ์สดออกทางสื่อ เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างหนึ่ง
...
เมื่อเห็นคนไลฟ์สดทำร้ายตัวเอง คนอื่น หรือฆ่าตัวตาย ควรรีบช่วยกันประวิงเวลา สื่อสารให้ความช่วยเหลือได้ก็จะเป็นผลดี
โดยหลักการในการช่วยเหลือคนไลฟ์สดคิดฆ่าตัวตาย มีหลักยึด 5 อย่า และ 3 ควร ดังนี้
1. อย่าท้าทาย ด้วยการ พูดว่า “ทำเลย” “กล้าทำหรือเปล่า” เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ทำมากขึ้น
2. อย่านิ่งเฉย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อม
3. อย่าใช้คำพูดเยาะเย้ย หรือด่าว่า เช่น โง่ บ้า เพราะยิ่งจะทำให้คิดลบและเพิ่มโอกาสทำมากขึ้น
4. อย่าติดตามจนจบ เพราะจะทำให้รู้สึกสะเทือนใจ อาจเก็บไปเป็นความเครียดฝังใจ ครุ่นคิด จนนอนไม่หลับ เป็นภาพติดตาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิต ซึ่งการถ่ายทอดสดลักษณะนี้ ไม่สามารถที่จะตัดต่อได้ หรือเซ็นเซอร์ได้ในขณะออกอากาศ
5. อย่าแชร์ต่อ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้คนที่มีความคิดจะทำร้ายตัวเองเลียนแบบได้ ส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตายเลียนแบบ (copycat suicide) หรือชี้นำให้เกิดการฆ่าตัวตาย และหากผู้รับชมเป็นเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ไม่ระมัดระวังในการรับสื่อ อาจเข้าใจผิดคิดว่า การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ง่าย
...
ส่วน 3 ควร นั้น คือ
1. ควรห้าม หรือขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะคนที่คิดทำร้ายตัวเองส่วนใหญ่จะยังเกิดลังเลใจอยู่
2. ควรชวนคุย ให้เขามีโอกาสทบทวนตัวเอง เน้นรับฟัง และไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียว
3. ควรคิดต่อ ขอความช่วยเหลือ เช่น คนใกล้ชิดเขาที่สุดในขณะนั้น เพื่อช่วยดึงสติเขากลับมา ตลอดจน โทร. 191 หรือขอความช่วยเหลือจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เขาเข้าสู่ระบบการช่วยเหลือโดยเร็ว
“ใครอยู่ในเหตุการณ์ต้องพยายามพูดคุย เพื่อประวิงเวลา การประวิงเวลาสำคัญมากที่จะช่วยไม่ให้คนไข้ทำอะไรที่วู่วามไป ลักษณะการพูดให้ชวนคุยว่ามีปัญหาอะไร มีใครบ้างที่เป็นห่วง จะช่วยประวิงเวลาได้เยอะ ต้องรับฟังให้มาก พูดกันอย่างใจเย็น” นพ.ยงยุทธชี้แนะ
...
วิธีสังเกตคนใกล้ตัว คิดฆ่าตัวตาย
กับข้อสงสัยนี้ นพ.ยงยุทธ อธิบายโดยบอกว่า หากคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า ต้องรักษาตัวก่อนที่จะรุนแรงหนักถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเอง ซึ่งอาการของโรคซึมเศร้าก็จะรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย เป็นภาวะทางอารมณ์ 2 อาทิตย์ คิดลบตำหนิตัวเอง จากนั้นเริ่มมีผลต่อชีวิตตัวเอง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ทำงานไม่ได้ การเรียนไม่ดี
ส่วนในกรณีเหตุจากปฏิกิริยา จะต้องการคนรับฟัง บางทีคนไข้จะแสดงสัญญาณเตือน ดังนี้ เริ่มสั่งเสีย พูด หรือโพสต์ข้อความ ภาพ หรือคลิปวิดีโอที่เป็นการสั่งเสียนัยๆ เช่น ลาก่อน อโหสิกรรมให้ด้วย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ จะไม่เจอกันแล้วนะ ซึ่ง นพ.ยงยุทธเน้นย้ำว่า อย่าถือเป็นเรื่องพูดเล่น ต้องให้ความสำคัญ และรับฟัง
“อย่าคิดว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ เป็นการส่งสัญญาณความช่วยเหลือ ถ้าเราช่วยเหลือได้ ชีวิตเขาคิดใหม่ได้ ก็จะมีชีวิตที่ยืนยาว ทำประโยชน์ให้ตัวเองและสังคมได้เยอะแยะ” นพ.ยงยุทธกล่าว
ทั้งนี้วิธีจัดการกับความเครียดที่ดี ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยึดหลักศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจสงบมากขึ้น รวมทั้งการฝึกสติ ฝึกสมาธิ หาเพื่อนปรึกษา พูดคุยระบาย ช่วยกันคิดแก้ปัญหา ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว ตลอดจนขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
เห็นคนฆ่าตัวตาย แต่ไม่คิดช่วย ในมุมกฎหมาย ผิดหรือไม่
กับข้อสงสัยนี้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง ระบุว่า กรณีที่ไม่เข้าช่วยเหลือคนฆ่าตัวตาย จะนำมาสู่การตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 374 ที่วางหลักไว้ว่า ‘ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ’
“ถือว่าเป็นความผิดลหุโทษ นั่นหมายความว่า เห็นคนกำลังจะฆ่าตัวตาย อยู่ในภยันตรายก็ต้องช่วย ซึ่งเราสามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วย เช่น เห็นคนกำลังจะจมน้ำ ถ้าเราว่ายน้ำไม่เป็น กลัวลงไปช่วยแล้วอาจตายด้วยกันทั้งคู่ เลยไม่ช่วย แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นความผิด กลับกัน ถ้าคนที่เห็นเหตุการณ์ ว่ายน้ำเป็น แต่เพิกเฉยไม่ช่วย อันนี้ผิดกฎหมายแน่นอน” นายอนันต์ชัยกล่าว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ