
การท่องเที่ยวระหว่างประเทศสร้างมูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท หรือ 9% ของ GDP ในปี 2024 โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากจีน, มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้ และรัสเซีย
ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ระบบการชำระเงินกำลังกลายเป็นหนึ่งใน “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ที่กำหนดประสบการณ์ของนักเดินทางจากทั่วโลก ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับ วีซ่า ประเทศไทย เผยรายงานวิจัย “Data-Driven Insights into Tourist Payment Behaviours” ซึ่งสะท้อนภาพชัดว่า ประเทศไทยมีระบบการชำระเงินที่พร้อมรองรับและได้รับการยอมรับในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างกว้างขวาง
รายงานฉบับนี้รวบรวมข้อมูลการใช้จ่ายและระบุให้เห็นว่า “ระบบดิจิทัลเพย์เมนต์” (Digital Payment) เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายและเชิงธุรกิจที่เป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่ระดับประเทศ ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย
โดยข้อมูลจากรายงานระบุว่า ในปี 2024 การท่องเที่ยวระหว่างประเทศสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นประมาณ 9% ของ GDP ไทย หรือราว 1.7 ล้านล้านบาท โดยเกือบครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาจาก 5 ตลาดหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
ทั้งนี้รูปแบบการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวยังสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายกระจุกตัวอยู่ในหมวดที่พัก (35%) และ อาหารและเครื่องดื่ม (23%) ซึ่งเป็นภาคส่วนที่พึ่งพาระบบการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเวลาเดียวกัน
หนึ่งในสัญญาณสำคัญที่รายงานชี้ให้เห็น คือ การเติบโตอย่างต่อเนื่องของการชำระเงินดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้บัตรของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Card Payment) โดยในปี 2024 มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรแตะระดับ 327,000 ล้านบาท จากกว่า 100 ล้านรายการธุรกรรม ซึ่งนับเป็นยอดที่สูงเป็นประวัติการณ์ คิดเป็น 20% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดและสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อระบบการชำระเงินของไทย โดยเฉพาะในร้านค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่
รายงานระบุว่า จุดแข็งสำคัญของประเทศไทย คือ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่ครอบคลุมและพร้อมรองรับเทคโนโลยีปัจจุบัน ไทยมี เครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) มากกว่า 900,000 เครื่อง และจุดรับชำระผ่าน QR Code กว่า 1,000,000 จุดทั่วประเทศ
ทั้งนี้แม้นักท่องเที่ยวจะมีความพร้อมด้านเครื่องมือดิจิทัล แต่การใช้งานจริงยังขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย โดยพบว่า เครื่อง EDC กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองเป็นหลัก โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีสัดส่วนถึง 37% ของเครื่องทั้งหมด รองลงมาคือ ชลบุรี และสมุทรปราการ ทำให้ผลที่ตามมา คือ นักท่องเที่ยวจำนวนมากยังคงเผชิญกับ “จุดติดขัดด้านการชำระเงิน” เมื่อเดินทางออกนอกเมืองหรือใช้บริการจากผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs ซึ่งยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนการติดตั้งและค่าธรรมเนียมธุรกรรม
อย่างไรก็ตามแม้การใช้งานจะกระจุกตัวในเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวหลัก แต่การขยายโซลูชันอย่าง “Scan to Pay” และ “Tap to Phone” ที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยรับชำระเงินผ่านสมาร์ตโฟนได้โดยไม่ต้องลงทุนสูงถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับการเข้าถึงระบบดิจิทัลเพย์เมนต์ในทุกพื้นที่
แนวโน้มปัจจุบันของพฤติกรรมการชำระเงินของนักท่องเที่ยวสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากเงินสดไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการชำระเงินผ่าน QR Code แบบข้ามพรมแดน (Inbound Cross-Border QR Payments) และการชำระเงินผ่านบัตรดิจิทัลเป็นสองกลไกสำคัญของระบบการชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศไทย ขณะที่ “เงินสด” ยังคงเป็นวิธีการชำระเงินหลักคิดเป็น 78% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมด
อีกหนึ่งแนวโน้มสำคัญ คือ ความคุ้นเคยที่เพิ่มขึ้นกับ “ไมโครเพย์เมนต์” (Micro-payments) โดยนักท่องเที่ยวเริ่มใช้บัตรสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมูลค่าต่ำกว่า 500 บาท มากขึ้น โดยเฉพาะในหมวดอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ และร้านอาหารจานด่วน สะท้อนความเชื่อมั่นในความสะดวกและความปลอดภัยของการชำระเงินดิจิทัล
นอกจากนี้รายงานยังเผยอินไซต์เชิงพฤติกรรมที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศที่มีรูปแบบการชำระเงินที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบการชำระเงินในแหล่งท่องเที่ยวจำเป็นต้อง “หลากหลายและยืดหยุ่น” เพื่อรองรับความคาดหวังของนักเดินทางจากทั่วโลก และลดแรงเสียดทานในประสบการณ์การใช้จ่าย ยกตัวอย่าง
สำหรับ “การชำระเงินผ่าน QR ข้ามพรมแดน” (Cross-Border QR Payments) พบว่ามีอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การชำระเงินผ่าน QR Code แบบข้ามพรมแดนเป็นอีกหนึ่งแนวโน้มใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในบางประเทศคู่ความร่วมมือ
ในปี 2024 มีมูลค่าการชำระเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านช่องทางนี้ 2,489 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนมูลค่าการใช้งานหลักจากมาเลเซีย 44% อินโดนีเซีย 15% และลาว 11% แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำมาใช้งาน แต่ระบบดังกล่าวช่วยเพิ่มทางเลือกที่สะดวกและคุ้นเคยให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศคู่สัญญาทั้ง 8 ประเทศคู่ความร่วมมือ ซึ่งคิดเป็นเพียง 29% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้าไทย
รายงานวิจัยฉบับนี้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในหลายภาคส่วน โดยข้อเสนอเชิงกลยุทธ์จากรายงานมุ่งเน้นการผลักดันผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบดิจิทัล ขยายจุดรับชำระเงินในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และเร่งการติดตั้งเทคโนโลยีการชำระเงินขั้นสูงในภาคโรงแรม ค้าปลีก และธุรกิจบริการ
ทั้งนี้หัวใจสำคัญ คือ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบนิเวศการชำระเงินที่ครอบคลุม ปลอดภัย และพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในระยะยาว เพราะ “ระบบการชำระเงิน” สะท้อนความสามารถแข่งขันระดับประเทศที่ส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ ความสะดวก และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
หากประเทศไทยสามารถต่อยอดจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ไทยอาจไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางยอดนิยม แต่เป็นหนึ่งในต้นแบบประเทศท่องเที่ยวดิจิทัลของโลกในอนาคตอันใกล้
อ่านรายงานเพิ่มเติม Data-Driven Insights into Tourist Payment Behaviours : Enhancing Thailand's Digital Payment Ecosystem
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -