
เศรษฐีใหม่เกิดขึ้นได้ทุกวัน โดยเฉพาะในโลกเทคโนโลยี ล่าสุด ซีอีโอและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า MetaX ได้ก้าวขึ้นเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ของจีน ด้วยการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ระดมทุนได้กว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดันมูลค่าบริษัทไปที่ 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังหุ้นวันแรกพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 755% ก่อนจะลดลงมาเหลือ 693% ตอนช่วงตลาดปิด
จากหุ้นที่พุ่งแรงนี้ ส่งผลให้ Chen Weiliang ซีอีโอและผู้ก่อตั้งที่ถือหุ้นของบริษัทอยู่ 55 ล้านหุ้น ความมั่งคั่งทะยานขึ้นทันที จนมูลค่าแตะ 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaire Index
MetaX คืออีกหนึ่งบริษัทผู้พัฒนา GPU (Graphic Processing Unit) มีต้นกำเนิดในจีน เริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและพัฒนา GPU โดยจะมุ่งเน้นไปในด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) แบบครบวงจรในผลิตภัณฑ์ GPU ประสิทธิภาพสูง เป็นผู้พัฒนาชิปแบบ Fabless หรือไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองเช่นเดียวกับรายใหญ่ของโลกอย่าง Nvidia และ AMD
MetaX ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2020 โดย Chen Weiliang อดีตผู้บริหารระดับสูงที่เคยทำงานอยู่กับ AMD ในจีนยาวนานถึง 13 ปี ก่อนจะมาเดินหน้าปั้นธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันนี้ MetaX มีศูนย์วิจัยและพัฒนาในหลายเมืองสำคัญของจีน ไม่ว่าจะเป็นปักกิ่ง หนานจิง เฉิงตู หางโจว เซินเจิ้น อู่ฮั่น และฉางซา
ความถนัดของ MetaX คือ การพัฒนา GPU และโซลูชันแบบฟูลสแตก (Full-Stack GPU) สำหรับงานประมวลผลแบบที่รวม Processor หลายประเภทเข้าด้วยกัน หรือ Heterogeneous Computing ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น Intelligent Computing (ระบบคอมพิวติ้งอัจฉริยะ), Smart City (เมืองอัจฉริยะ), Cloud Computing, Autonomous Vehicle (รถยนต์ไร้คนขับ), Digital Twin ไปจนถึง Metaverse
พอร์ตโฟลิโอของ MetaX มี GPU แบบครบวงจรและเตรียมเปิดตัว GPU หลายซีรีส์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพและความอเนกประสงค์ของการประมวลผล ได้แก่
ขณะที่ทีมทำงานของ MetaX หลังจากที่ Chen Weiliang มาก่อตั้งสตาร์ทอัพของตัวเอง ก็ได้มีการดึงตัวคนเก่งอีกหลายรายจาก AMD เข้ามาร่วมทีม จน Bloomberg เรียกว่าเป็น “AMD Gang” ซึ่งหนึ่งในคนกลุ่มแรก ๆ ที่ถูกทาบทามมาคือ Peng Li เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ซึ่งเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงชาวจีนคนแรกของ AMD
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Moore Threads Technology อีกหนึ่งบริษัทผู้พัฒนาชิป GPU ที่ก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกันกับ MetaX คู่แข่งสำคัญในจีน ได้ IPO เข้าตลาดเซี่ยงไฮ้ไปเช่นกันที่ทำมูลค่าได้สูงถึง 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกขนานนามว่าเป็น “Nvidia แห่งจีน” (อีกหนึ่งเหตุผลเพราะผู้ก่อตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงจาก Nvidia)
ที่ผ่านมาตลาดในประเทศของจีน เริ่มมีการแข่งขันที่ร้อนแรงมากขึ้น บริษัทหน้าใหม่เข้า IPO ในขณะที่เจ้าใหญ่อย่าง Huawei Technologies, Hygon Information Technology และ Cambricon Technologies ต่างก็เร่งทำผลงานในบ้านตัวเอง หลังสงครามการค้าทำให้จีนกดดันสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯ
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดของสงครามการค้าลง โดยเฉพาะในชิป AI ที่พัฒนาโดย Nvidia อย่าง H200 เปิดทางให้ Nvidia สามารถส่งออกไปจีนได้แล้ว แต่ต้องแลกกับส่วนแบ่ง 25% ให้กับสหรัฐฯ
แต่ด้านจีนเหมือนจะยังคงเดินหน้าปฏิเสธชิปจากสหรัฐฯ ต่อเนื่อง มีรายงานจาก Financial Times ออกมาว่า จีนกำลังพยายามหาทางจำกัดการใช้งานชิป H200 ของ Nvidia โดยจะให้ผู้ที่ต้องการซื้อชิปจากสหรัฐอเมริกา ต้องยื่นขออนุญาตกับรัฐบาล พร้อมชี้แจงเหตุผลว่าเพราะอะไรชิปที่ผลิตในประเทศถึงไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ซื้อ
“ต้องยอมรับว่า Huawei, Hygon และ Cambricon มีผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาอยู่ในระดับที่สุกงอมกว่า และมีความสัมพันธ์กับฐานลูกค้าที่มั่นคงกว่า” Matthew Deng ผู้อำนวยการที่ปรึกษาของ BDA China กล่าว
MetaX ถือส่วนแบ่งในตลาดชิปจีนอยู่ที่ราว 1% และกำลังเดินหน้าเผาเงินสดอย่างหนัก เพื่อเร่งไล่ตาม Nvidia ทั้งในแง่สมรรถนะและศักยภาพด้านการผลิต ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2022 ถึง 2024 บริษัททุ่มงบเฉพาะด้านวิจัยและพัฒนาไปแล้วมากกว่า 2,200 ล้านหยวน (ราว 312 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
แม้ที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทจะเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ทำรายได้แตะ 915 ล้านหยวน (หรือเกือบ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่ารายได้ทั้งปีของปีก่อนหน้าไปแล้ว แต่เส้นทางสู่การทำกำไรยังคงไม่ชัดเจน โดยในปี 2024 บริษัทขาดทุนสุทธิถึง 1,410 ล้านหยวน (ราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม MetaX คาดว่าจะสามารถไปถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในปี 2026 แต่เป้าหมายดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของชิปเรือธง C500 ว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งในตลาดและแข่งขันกับคู่แข่งรายสำคัญอย่างตระกูล Ascend ของ Huawei ได้มากน้อยแค่ไหน
นอกเหนือจากตัวเลขทางการเงินแล้ว โครงสร้างธุรกิจของ MetaX ยังสะท้อนความเปราะบางที่พบได้บ่อยในบรรดาบริษัทจีนซึ่งเติบโตจากนโยบายทดแทนการนำเข้า นั่นคือการพึ่งพาลูกค้าจำนวนไม่มาก โดยหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2025 คือ H3C Technologies ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง และทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักในการนำชิปสัญชาติจีนเข้า Data Center ของหน่วยงานรัฐ
อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญ คือ กระบวนการผลิต เนื่องจาก MetaX ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Fabless คือรับผิดชอบเฉพาะการออกแบบชิป แต่ต้องพึ่งพาโรงงานผลิตภายนอก (Foundry) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของ MetaX ยังคงเป็นจุดเปราะบางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney