
ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการ โดยแพลตฟอร์มที่โดนแบนนั้นประกอบไปด้วยแอปพลิเคชันในเครือ Meta ทั้ง Facebook, Instagram, Threads ตลอดจน TikTok, X, YouTube, Snapchat และอื่น ๆ
ออสเตรเลียนับว่าเป็นประเทศแรกของโลกที่ผ่านกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียในเยาวชน โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีจะไม่สามารถลงทะเบียนเปิดบัญชีใหม่ได้ และแอ็กเคานต์เดิมที่มีจะถูกยกเลิกไปทันที
ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ปี 2024 ออสเตรเลียได้มีการยื่นร่างกฎหมายแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นประเทศแรกของโลกที่เสนอให้แพลตฟอร์มโซเชียลต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ในการป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงบริการแทนที่จะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กแบบที่ผ่านมา
และล่าสุดกฎหมายก็ได้ผ่านร่างและเริ่มประกาศใช้จริงแล้ว โดยบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะต้องรับผิดชอบสูงสุด 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 1,040 ล้านบาท หากพบว่าละเมิดกฎระเบียบที่วางไว้
รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า มาตรการดังกล่าวออกมาเพื่อลดผลกระทบด้านลบของโซเชียลมีเดียที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดให้เยาวชนอยู่กับหน้าจอนานขึ้น พร้อมกับป้อนคอนเทนต์บางประเภทที่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของเด็กบางคน
จากผลการศึกษาที่รัฐบาลออสเตรเลียได้มีการว่าจ้างให้ทำในช่วงตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา พบว่า เยาวชนอายุระหว่าง 10-15 ปีมากถึง 96% มีการใช้งานโซเชียลมีเดีย และในจำนวนนี้มีเด็ก 7 ใน 10 เคยถูกป้อนคอนเทนต์อันตราย (Harmful Contents) ซึ่งคอนเทนต์ดังกล่าวรวมไปถึง คอนเทนต์ที่มีลักษณะเหยียดผู้หญิง มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ไปจนถึงคอนเทนต์ที่ส่งเสริมความผิดปกติด้านการกิน (Eating Disorders) และการฆ่าตัวตาย
ขณะเดียวกันยังพบอีกว่า เด็ก 1 ใน 7 นี้ยังเคยเจอพฤติกรรมถูกชักจูงหรือล่อลวงโดยผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีอายุมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเด็กมากกว่าครึ่งที่ตอบแบบสอบถามระบุว่า เคยตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามการใช้งานโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวันของเยาวชน
10 แอปพลิเคชันที่จะถูกแบนในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ประกอบไปด้วย Facebook, Instagram, Snapchat, Threads, TikTok, X, YouTube, Reddit และแพลตฟอร์มสตรีมมิง Kick และ Twitch
รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า การพิจารณาว่าแพลตฟอร์มใดจะเข้าข่ายถูกควบคุมภายใต้กฎหมายนี้จะอิงตาม 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่
และจากเกณฑ์ดังกล่าวทำให้บริการบางประเภทไม่รวมอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เช่น YouTube Kids, Google Classroom และ WhatsApp เนื่องจากรัฐบาลมองว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่เข้าเงื่อนไขครบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปียังสามารถรับชมคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ หากเป็นบริการที่ไม่จำเป็นต้องสมัครบัญชีผู้ใช้
ภายใต้กฎหมายนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะต้องมีการดำเนินการด้วยมาตรการที่สมเหตุสมผล (Reasonable Steps) เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ โดยมีหนึ่งในข้อกำหนดสำคัญระบุไว้ว่า แพลตฟอร์มควรใช้ เทคโนโลยีตรวจสอบอายุ (Age assurance) มากกว่าหนึ่งรูปแบบ ซึ่งอาจรวมถึงการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าหรือเสียง ตลอดจนเทคนิคที่เรียกว่า “Age Inference” ซึ่งเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์ รูปแบบการใช้งาน และการโต้ตอบต่าง ๆ เพื่อประเมินอายุของผู้ใช้งานโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกตั้งคำถามจากนักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากว่ายังมีขอบเขตของกฎหมายค่อนข้างจำกัด
นักวิจารณ์ชี้ว่า กฎหมายฉบับนี้ ไม่ครอบคลุมเว็บไซต์หาคู่ แพลตฟอร์มเกมออนไลน์ รวมถึงแชตบอต AI ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา แชตบอตบางรายตกเป็นข่าวว่าอาจชักจูงหรือส่งเสริมให้เด็กฆ่าตัวตาย รวมถึงมีพฤติกรรมสนทนาเชิงล่อแหลมทางเพศกับผู้เยาว์
โดยเรียกร้องให้รัฐบาลขยายขอบเขตการแบนไปยังแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ อย่างเช่น Roblox และ Discord ไปด้วย โดย Roblox เคยออกมาชี้แจงเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า บริษัทมีแผนจะเริ่มนำระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้งานมาใช้กับฟีเจอร์บางส่วนของแพลตฟอร์ม เพื่อดูแลด้านความปลอดภัยของเยาวชน
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอาจไม่ใช่การแบน แต่เป็นการให้ความรู้และสร้างทักษะให้เด็กและเยาวชนในการใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัยและรู้เท่าทัน
ตามรายงานของ BBC ระบุว่า มีเด็กวัยรุ่นบางส่วนเตรียมที่จะสร้างบัญชีปลอมก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาเตือนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้ตรวจจับและลบบัญชีลักษณะดังกล่าว อย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน เด็กบางส่วนเลือกใช้วิธีเปลี่ยนไปใช้บัญชีร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมาย
นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ อาจเกิดการใช้งาน VPN เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยปกปิดตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้งาน โดยสถานการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสหราชอาณาจักร หลังมีการบังคับใช้กฎควบคุมอายุผู้ใช้งานในลักษณะเดียวกัน
ยุโรปคือหนึ่งภูมิภาคที่มีการดำเนินการอย่างชัดเจน มีหลากหลายประเทศที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น
ขณะเดียวกัน ฝั่งสหรัฐอเมริกา ได้มีข้อกำหนดจำกัดโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นในระดับรัฐ ไม่ว่าจะเป็น
ที่มา: Financial Times [1][2][3], BBC, The Guardian
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney