
Strategy Inc. บริษัทที่ถือบิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นสินทรัพย์สำรอง ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2025 กำไรสุทธิสูงกว่าคาด อยู่ที่ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ลดลงมาจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุมาจากมูลค่าบิตคอยน์ที่เคยพุ่งจนทำสถิติใหม่ในช่วงก่อนเริ่มชะลอตัว ส่งผลให้มูลค่าพรีเมียม (Valuation Premium) ของบริษัทเริ่มหดตัวลง
Strategy หรือชื่อเดิม Microstrategy เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก ก่อตั้งโดย Michael Saylor เป็นหัวเรือใหญ่ที่ปรับรูปแบบบริษัทมาถือบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองในปี 2020 จนทำให้ทั้งวอลสตรีทต้องจับตามอง เนื่องจากการปรับทิศทางครั้งนั้น Strategy กลายมาเป็นผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดของโลก และราคาหุ้นของบริษัทก็ไม่ได้สะท้อนกำไรบริษัทเป็นหลักอีกต่อไป แต่จะไปขึ้นอยู่กับมูลค่าบิตคอยน์ที่ถืออยู่ ผ่านตัวชี้วัดที่เรียกว่า mNAV (Market-Adjusted Net Asset Value)
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทระบุว่า มีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรสุทธิที่ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ซื้อ Bitcoin เพิ่มอีก 390 BTC ทำให้ถือบิตคอยน์ทั้งหมดอยู่ที่ 640,808 BTC รวมมูลค่าเป็น 47,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 74,032 ต่อบิตคอยน์ โดยในปี 2025 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันผลตอบแทนจากบิตคอยน์อยู่ที่ 26% และกำไรจากบิตคอยน์ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้อยู่ที่ 12,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถึงแม้กำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ตัวเลขก็ยังออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด โดยบริษัททำกำไรต่อหุ้นแบบ Diluted ได้ 8.42 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 8.15 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไตรมาสนี้ถือว่าเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการอ่อนที่สุดนับตั้งแต่บริษัทเริ่มใช้มาตรฐานบัญชีแบบบันทึกตามมูลค่ายุติธรรมของบิตคอยน์ (Fair-Value Accounting)ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ราคาหุ้น Strategy ปิดตลาดวันพุธสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับประมาณ 254 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน แต่หลังประกาศงบหุ้นก็ดีดขึ้นประมาณ 4% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด ขณะที่ราคาบิตคอยน์อยู่ใกล้ระดับ 107,000 ดอลลาร์ หรือลดลงราว 15% จากจุด All-Time High เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม
การร่วงของราคาบิตคอยน์ทำให้ตัวคูณ mNAV ของ Strategy ลดลงมาเหลือประมาณ 1.2 เท่า ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 และต่ำมากเมื่อเทียบกับระดับจุดสูงสุด 3.9 เท่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ตอนที่บิตคอยน์พุ่งจากต่ำกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐไปใกล้ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหลัง Donald Trump ชนะเลือกตั้ง จนทำให้มูลค่าหุ้น Strategy พุ่งขึ้นแรง
แต่แม้ตัวเลขผลประกอบการจะออกมาดี ก็ยังไม่สามารถทำให้นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทบางรายคลายกังวลได้ โดยมีนักวิเคราะห์จากค่ายต่าง ๆ อย่างเช่น Cantor Fitzgerald, TD Cowen และ Maxim Group ได้ออกมาปรับลดราคาเป้าหมาย (Price Target) ของบริษัทลง สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อแนวโน้มช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะประเด็น พรีเมียมหุ้น (Premium) ของ Strategy ที่เมื่อเทียบกับมูลค่าบิตคอยน์ยังคงหดตัวลงเรื่อย ๆ
Lance Vitanza นักวิเคราะห์จาก TD Cowen ระบุในรายงานว่า “หลังจากทำผลงานดีมาก 3 ไตรมาสติดกัน ไตรมาส 4 กลับเริ่มต้นแบบช้า ๆ ราคาบิตคอยน์ขึ้นไม่แรงเหมือนเดิม และส่วนต่างพรีเมียมของบริษัทก็ลดลงแรง ทำให้บริษัทระดมทุนช้าลง และผลตอบแทนจากบิตคอยน์ตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงตอนนี้อยู่ในระดับแค่ ‘หน่วย basis points’ ไม่ใช่ ‘เปอร์เซ็นต์’ เหมือนก่อนหน้า”
ด้าน Brett Knoblauch นักวิเคราะห์จาก Cantor Fitzgerald ระบุว่า “พรีเมียม mNAV ที่ลดลง ทำให้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดทุนของ Strategy ลดลง และส่งผลให้มูลค่าบริษัทลดลงด้วย ทั้งนี้ตัวเลข mNAV เคยต่ำกว่า 1 มาก่อนแล้ว ตอนช่วงวิกฤติ Terra-Luna ก่อนจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา”
อย่างไรก็ตาม Strategy ยังคงใช้หุ้นบุริมสิทธิที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นช่องทางหลักในการระดมทุนซื้อบิตคอยน์เพิ่ม โดยไม่ต้องออกหุ้นสามัญเพิ่ม หุ้นเหล่านี้อยู่ภายใต้ชื่อย่อย เช่น STRC, STRF, STRK และ STRD ซึ่งให้เงินปันผลแบบคงที่หรือแบบปรับตามอัตราดอกเบี้ย และซื้อขายแยกจากหุ้นสามัญ
บริษัทประกาศว่าจะเพิ่มอัตราเงินปันผลของหุ้น STRC แบบอัตราลอยตัวเป็น 10.5% ในเดือนพฤศจิกายน จากระดับ 10.25% เดือนก่อน
การเพิ่มผลตอบแทนช่วยดึงดูดนักลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัว โดยเงินปันผลส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากกระแสเงินสดของบริษัท แต่เป็นเงินทุนจากการออกหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นใหม่ ซึ่งทำให้ Strategy สามารถซื้อบิตคอยน์เพิ่มต่อไปได้ แม้ราคาหุ้นและค่าพรีเมียม mNAV จะลดลงก็ตาม
Peter Schiff โบรกเกอร์ผู้สนับสนุนทองคำตัวยง ออกมาโพสต์ผ่าน X กล่าวโจมตีว่าบริษัท Strategy พึ่งพาการพุ่งขึ้นของราคาบิตคอยน์มากเกินไป และมองว่าผลประกอบการที่ประกาศออกมานั้นเป็น “การฉ้อโกง” (Fraud) โดยอ้างว่าตัวเลขกำไรสุทธิ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้นแบบ Diluted ที่บริษัทประกาศนั้นสะท้อนกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นของบิตคอยน์
หรือพูดง่าย ๆ คือ Peter Schiff กล่าวหาว่าบริษัทที่นำโดย Michael Saylor รายงานผลประกอบการไม่ตรงกับความเป็นจริง
Peter Schiff ยังมองอีกด้วยว่า “ประมาณการผลประกอบการทั้งปี 2025 ของ Strategy เป็นเพียงการคาดหวังว่าราคา Bitcoin จะพุ่งขึ้นต่อไปจนถึงสิ้นปี”
ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ Brett Knoblauch มองว่า “หาก Strategy ต้องการทำรายได้จากการดำเนินงานไตรมาส 4 ได้ตามเป้าประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาบิตคอยน์จะต้องขึ้นไปถึง 150,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี แต่ตอนนี้ราคายังอยู่เพียงระดับกว่า 110,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่เคยขึ้นไปเกิน 127,000 ดอลลาร์สหรัฐเลย”
ที่มา: Strategy, Bloomberg, Yahoo! Finance, The Block
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney