
ในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia, Alphabet และ Broadcom ได้ช่วยผลักดันตลาดหุ้นให้ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และขับเคลื่อนตัวเลข GDP ของประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาที่กำลังเป็นผู้นำให้เติบโต
แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจขนาดเล็กอย่างบริษัทในกลุ่มค้าปลีก ก่อสร้าง และบริการต่าง ๆ กำลังเจอกับแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์ ขณะเดียวกันผู้บริบริโภคก็เริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
ตามรายงานของสำนักข่าว CNBC ระบุว่า ตอนนี้มีบริษัทเทคโนโลยี 8 บริษัทที่มีมูลค่าตามตลาดเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงกับ AI ประกอบไปด้วย Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ Broadcom ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 37% ของมูลค่าดัชนี S&P 500 เลยทีเดียว
และเฉพาะแค่ Nvidia บริษัทเดียว ก็มีมูลค่าตามตลาดไปแล้วกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 7% ของตลาดทั้งหมด
เหล่านี้นำมาซึ่งการกระหน่ำเข้าลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยพบว่า หุ้น Broadcom พุ่งกว่า 50% ในปีนี้
หลังจากที่ปีที่แล้วพุ่งขึ้นเกินเท่าตัว ส่วน Nvidia และ Alphabet ก็เพิ่มขึ้นราว 40% ในปี 2025 นั่นทำให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 15% และ Nasdaq พุ่งขึ้น 20% ทะลุสถิติสูงสุดอีกครั้ง แม้รัฐบาลจะยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีประเด็นของการลงทุนกันเองในบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว Nvidia ได้ประกาศลงทุน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน OpenAI ตามมาด้วย AMD ที่หุ้นของบริษัทก็พุ่งขึ้นกว่า 20% เช่นกันหลังประกาศดีลกับ OpenAI แต่ในทางกลับกัน “หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค” ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นในดัชนี S&P 500 กลับโตไม่ถึง 5% ตั้งแต่ต้นปี
ตามรายงานของ JPMorgan Chase ระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 การลงทุนด้าน AI มีส่วนช่วยให้ GDP สหรัฐฯ เติบโตถึง 1.1% ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เคยเป็นแรงขับหลักของเศรษฐกิจในประเทศเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังเผยอีกว่า GDP ในไตรมาส 2 ปี 2025 ขยายตัว 3.8% ต่อปี หลังจากหดตัว 0.5% ในไตรมาสแรก
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตามรายงานของ Institute for Supply Management พบว่า ฝั่งภาคการผลิตของสหรัฐฯ กลับหดตัวต่อเนื่อง 7 เดือนติด ขณะที่การก่อสร้างชะลอตัวเพราะดอกเบี้ยสูงและต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Cushman & Wakefield คาดว่า ต้นทุนก่อสร้างไตรมาส 4 ปีนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาษีนำเข้าวัสดุก่อสร้าง
นอกจากนี้ จากงานสำรวจของ KeyBank ยังระบุอีกว่า 1 ใน 4 ของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กกำลังอยู่ในโหมด “เอาตัวรอด” เพราะต้องเผชิญต้นทุนและภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นกว่า 40% ของ GDP สหรัฐฯ
ข้อมูลจาก S&P Global ระบุว่า ภาษีของทรัมป์จะทำให้ภาคธุรกิจทั่วโลกต้องจ่ายต้นทุนเพิ่มขึ้นรวมกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ และส่วนใหญ่ของต้นทุนนั้นถูกผลักไปเป็นภาระของผู้บริโภค
และตามผลสำรวจของ Deloitte เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้ ภาคค้าปลีกมีแนวโน้มซบเซาหนัก พบว่า 57% ของผู้บริโภคอเมริกันคาดว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอลงในปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z (อายุ 18-28 ปี) ที่วางแผนจะใช้จ่ายน้อยลงถึง 34% ในเทศกาลนี้ ส่วน Millennials (อายุ 29-44 ปี) ก็จะใช้จ่ายน้อยลงเฉลี่ย 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้ รายงานจากบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas ยังระบุว่า การจ้างงานชั่วคราวช่วงเทศกาลปีนี้อาจต่ำที่สุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2009 ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีการจ้างงานใหม่ในสหรัฐฯ เพียง 205,000 ตำแหน่ง ลดลงถึง 58% จากปีก่อน
ปัญหาหลัก ๆ ที่ตามมาจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา คือ การปรับโครงสร้างขององค์กรทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานออกมาต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่น Starbucks ที่ได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนกันยายน ส่งผลให้ต้องปิดสาขาหลายแห่งในอเมริกา และผู้ที่รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ก็หนีไม่พ้นพนักงาน เนื่องจากมีการปลดพนักงานไปแล้วกว่า 2,000 คนในปีนี้ ส่งผลให้หุ้น Starbucks ลดลงประมาณ 6% แล้วในปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในภาคเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI ก็มีการปลดพนักงานเช่นกัน โดย Microsoft ประกาศปลดพนักงานราว 9,000 คนในเดือนกรกฎาคม เพื่อลดชั้นการบริหาร ส่วน Salesforce ก็ยอมรับว่าบางงานตอนนี้ AI สามารถทำแทนคนได้แล้ว
ที่มา: CNBC
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney