จากขาดทุนหมื่นล้านสู่กำไร Intel คืนชีพ ผลงานดีกว่าคาด หลังรัฐบาลทรัมป์เข้าถือหุ้น Nvidia เข้าลงทุน
Date Time: 24 ต.ค. 2568 11:33 น.
“Summary“
Intel ประกาศผลประกอบการ Q3/2025 รายได้ดีกว่าคาดการณ์ ทะลุ 13,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไร 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังรัฐบาลสหรัฐเข้าถือหุ้น และพันธมิตรด้านชิปเข้าลงทุนหนุนกิจการ
Latest
Intel ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ผลออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ รายได้ทะลุ 13,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ บวกกับปัจจัยจากความต้องการชิปประมวลผลหลักตระกูล x86 สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) กำลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Intel พุ่งขึ้นกว่า 6% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ซึ่งเท่ากับว่าปีนี้หุ้น Intel เพิ่มขึ้นมาแล้ว 87%
Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กล่าวในระหว่างการประชุมกับนักลงทุนว่า “ผลประกอบการไตรมาส 3 ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และความก้าวหน้าที่มั่นคงตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้”
ผลประกอบการ
ผลประกอบการของ Intel เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาด (ข้อมูลจาก LSEG) พบว่า มีรายได้อยู่ที่ 13,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 13,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.23 ดอลลาร์สหรัฐ (ปรับปรุงแล้ว) แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบโดยตรงกับประมาณการของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม Intel ได้มีบันทึกการขาดทุนต่อหุ้นอยู่ที่ 0.37 ดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสนี้ สะท้อนมูลค่าหุ้นที่ถูกกันไว้ในบัญชี (Escrow Shares) ซึ่งจะถูกโอนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 8,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อตกลงนี้เป็นผลจากการเจรจาของรัฐบาลทรัมป์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้เข้าซื้อหุ้นจำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคา 20.47 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือราว 10% ของบริษัท ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ นอกจากนี้ Intel ยังได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ อีกกว่า 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสนี้อีกด้วย
Lip-Bu Tan กล่าวด้วยว่า “เราให้คำมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ของรัฐบาลทรัมป์ในการฟื้นฟูการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ต้อนรับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้มาเป็นพันธมิตรสำคัญในความพยายามครั้งนี้ของเรา”
สำหรับไตรมาส 3 นี้ Intel มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 0.90 ดอลลาร์ต่อหุ้น นับเป็นตัวเลขที่ดีขึ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 16,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ Intel มีรายได้รวมอยู่ที่ 12,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบรายปี (YoY) โดยมียอด 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับพีซีและแล็ปท็อป และอีกกว่า 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจาก Data Center CPU ซึ่งลดลงเล็กน้อยราว 1% เมื่อเทียบรายปี
และรายได้จากธุรกิจ Foundry ธุรกิจผลิตชิปให้บริษัทอื่น ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดย Intel ให้เหตุผลว่าทั้งหมดของรายได้ส่วนนี้ยังมาจาก Intel ใช้โรงงาน Foundry ผลิตชิปของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ของลูกค้าภายนอก
“ด้วยความเป็นผู้นำของ Intel ทั้งในด้าน CPU ประสิทธิภาพสูง ระบบนิเวศของพันธมิตรในอุตสาหกรรม และศักยภาพในการวิจัย พัฒนา และผลิตชิประดับแนวหน้าในสหรัฐฯ ทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้ในระยะยาว” Lip-Bu Tan กล่าว
แนวโน้มไตรมาส 4
Intel คาดว่ารายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 13,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมคาดว่ากำไรต่อหุ้น (Adjusted EPS) จะอยู่ที่ 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ประเมินไว้ที่รายได้ 13,370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้นที่ 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Intel ยังได้รับเงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอดีตคู่แข่งอย่าง Nvidia โดยทั้งสองบริษัทตกลงร่วมมือกันผสานเทคโนโลยีชิปประมวลผลกลาง (CPU) ของ Intel กับกราฟิกชิป AI (GPU) ของ Nvidia ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งกว่า 90% ของตลาดชิป AI ทั่วโลก
Intel ระบุว่าความต้องการชิปของบริษัทสูงกว่ากำลังการผลิต และแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปตลอดปีหน้า นอกจากนี้ Intel ยังระบุว่าความร่วมมือกับ Nvidia จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นการเติบโตของธุรกิจ Data Center CPU อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Intel ยังเปิดเผยด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานรวม 88,400 คน ลดลงจาก 124,100 คนในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการปรับโครงสร้างและลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัท
“ในไตรมาสนี้ เราได้ดำเนินการสำคัญหลายประการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของบริษัท ซึ่งรวมถึงการรับเงินสนับสนุนล่วงหน้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนจาก NVIDIA และ SoftBank Group ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของเรา และตอกย้ำบทบาทสำคัญที่ Intel มีต่อระบบนิเวศอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก” Lip-Bu Tan กล่าว
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
Author
