
Daniel Ek ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Spotify ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง หลังนั่งเก้าอี้บริหารมานานเกือบ 20 ปี โดยจะเปลี่ยนบทบาทไปเป็น Executive Chairman ขณะที่ Alex Norström (Chief Business Officer) และ Gustav Söderström (Chief Product & Technology Officer) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานร่วมจะก้าวขึ้นเป็น Co-CEOs ของบริษัท โดยเริ่มมีผลวันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องฉับพลัน แต่เป็นแผนที่ Spotify เตรียมไว้หลายปีแล้ว โดยตั้งแต่ปี 2023 Ek ได้โปรโมต Norström ที่ดูแลด้านธุรกิจการตลาด และ Söderström วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ขึ้นมาเป็นประธานร่วมเพื่อเพิ่มบทบาทและเสริมประสบการณ์ด้านภาวะผู้นำ ก่อนส่งไม้ต่ออย่างเป็นทางการในปีหน้า
แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอแต่ Ek จะยังคงมีบทบาทสำคัญในระยะยาว โดยมุ่งทำงานด้านกลยุทธ์ การจัดสรรเงินทุนและการลงทุนขนาดใหญ่ โดย Co-CEOs ทั้งสองคนจะเป็นผู้บริหารและตัดสินใจทางธุรกิจ โดย Ek เองแม้จะถอยจากบทบาท CEO แต่ยังคงเดินหน้าเส้นทางผู้ประกอบการและนักลงทุน ผ่านบริษัทลงทุน Prima Materia ที่เขาร่วมก่อตั้งในปี 2021 ซึ่งเน้นลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีสายสุขภาพและป้องกันประเทศ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมเพลง โดยเฉพาะการเติบโตของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่เริ่มชะลอตัวในตลาดหลัก ขณะเดียวกันกระแสเพลงที่สร้างโดย AI ที่ทำให้วงการเพลงต้องเร่งหากลไกควบคุมและสร้างมูลค่าเพิ่ม กดดันให้ค่ายเพลงและผู้ถือลิขสิทธิ์ รวมถึง Spotify ต้องพัฒนาบริการแบบพรีเมียมใหม่ที่ตั้งราคาสูงขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มแฟนพันธุ์แท้และพยายามผลักดันผู้ใช้ฟรีให้กลายเป็นผู้สมัครสมาชิก
นอกจากนี้ Spotify ยังเผชิญกับแรงกดดันด้านลิขสิทธิ์ เช่น คดีความเกี่ยวกับแพ็กเกจรวมเพลงกับออดิโอบุ๊กที่ช่วยลดค่าลิขสิทธิ์เพลง และการต่อต้านจากผู้บริโภคที่ไม่เห็นด้วยต่อเงื่อนไขในการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ศิลปิน ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของศิลปิน รวมถึงการเปรียบเทียบเรื่องคุณภาพเสียงกับบริการอื่นๆ ที่มีคุณภาพมากกว่า
เกือบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา Spotify ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการฟังเพลงของโลก จากวันที่ Daniel Ek และ Martin Lorentzon ก่อตั้งสตาร์ตอัพที่สตอกโฮล์มในปี 2006 เพื่อแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและวิกฤตยอดขายซีดีและเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งอย่างเป็นทางการในยุโรปราว โดยหลังจากนั้นในปี 2011 ที่เปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ ได้กลายจุดเปลี่ยนใหญ่ที่ทำให้ Spotify ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แม้ต้องเผชิญการแข่งขันจากสตรีมมิ่งรุ่นเก๋าอย่าง Apple Music รวมถึงยักษ์ใหญ่แพลตฟอร์มที่ให้บริการวิดีโอคอนเทนต์อย่าง Youtube แต่ Spotify สามารถเพิ่มผู้ใช้งานจนทะลุ 75 ล้านรายในปี 2015 และสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วยวิธี Direct Listing ที่แหวกแนว ไม่ใช้ธนาคารลงทุนกำหนดราคา IPO และทำให้ Spotify ได้ทุนในการขยายธุรกิจสู่ Podcast และ Audio Content ในเวลาต่อมา
จนถึงปัจจุบัน Spotify กลายเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงยอดนิยมทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้และส่วนแบ่งตลาดโดยรวม โดยตัวเลขล่าสุดปี 2025 มูลค่าตลาดพุ่งเกิน 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 4.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ผู้ใช้งานอยู่ที่เกือบ 700 ล้านรายต่อเดือน และผู้สมัครสมาชิกแบบพรีเมียมกว่า 276 ล้านราย
โดยตลอดปี 2025 หุ้น Spotify พุ่งขึ้นกว่า 50% นักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อมาตรการรัดเข็มขัดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจพอดแคสต์ ลดพนักงาน และสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น บันเดิล แพ็กเกจฟังเพลง+ออดิโอบุ๊ก ที่ช่วยประหยัดค่าลิขสิทธิ์เพลงนับสิบล้านดอลลาร์ แม้ว่าจะเผชิญการฟ้องร้องจากผู้แต่งเพลงอยู่ในปัจจุบัน
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่การถอยออกของ Ek แต่คือการปรับบทบาทเพื่อให้ Spotify ได้ทั้ง พลังของผู้ก่อตั้งและความสดใหม่จากทีมผู้บริหารรุ่นใหม่
โดย Co-CEOs ทั้งสองประกาศชัดว่า Spotify ยังคงมีภารกิจไม่เปลี่ยน การเป็นแพลตฟอร์มที่ปฏิวัติการฟัง และเชื่อมผู้ฟังเข้ากับเสียงดนตรีและคอนเทนต์จากทั่วโลก โดยมีการตั้งเป้าขยายตลาดสู่ภูมิภาคแอฟริกาและเอเชีย พร้อมทั้งมองโอกาสจากเทคโนโลยี AI ที่จะเปลี่ยนแปลงการฟังเพลง และสร้างรูปแบบการบริโภคคอนเทนต์ใหม่ๆ โดยเฉพาะวิดีโอคอนเทนต์ เช่น มิวสิกวิดีโอและพอดแคสต์
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -