VC เอเชียจากForbes Under30 เปลี่ยนเกมลงทุน หมดยุค โตก่อนกำไรทีหลัง เลือก "คุณภาพผู้ก่อตั้งมาก่อน"

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

VC เอเชียจากForbes Under30 เปลี่ยนเกมลงทุน หมดยุค โตก่อนกำไรทีหลัง เลือก "คุณภาพผู้ก่อตั้งมาก่อน"

Date Time: 13 ก.ย. 2568 23:23 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

Venture Capital (VC) รุ่นใหม่จากทั่วเอเชีย คุยถึงอนาคตของการลงทุนที่กำลังมองข้ามพรมแดน “จีน” สู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาค อีกทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนภาพการลงทุนตอนนี้

Latest


กรุงเทพมหานคร กลายเป็นศูนย์กลางของ ‘ซีอีโอรุ่นใหม่’ และนักสร้างนวัตกรรมจากทั่วเอเชีย เมื่อ Forbes Under 30 Summit Asia 2025 เปิดเวทีอย่างเป็นทางการภายใต้ธีม “Jumpstarting The Future”

งานประชุมครั้งนี้รวบรวมผู้ประกอบการ ผู้ก่อตั้งธุรกิจและสตาร์ทอัพกว่า 350 คนจากเครือข่าย Forbes 30 Under 30 Asia ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง สร้างเครือข่าย พร้อมบรรยากาศที่ผสมผสานทั้งการเสวนา อาหาร ดนตรี และกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจครั้งแรกในประเทศไทย 

โดยไฮไลท์ในปีนี้ เริ่มตั้งงแต่ การเสวนาแบบตัวต่อตัวกับศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงของ Forbes 30 Under 30 Asia โซน “Discovery Area” ที่จัดแสดงผลงานนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์จากครีเอเตอร์ที่ติดอันดับ Forbes 30 Under 30 Asia ตลอดจนเวทีเสวนาที่รวบรวมหัวข้อในโลกธุรกิจที่กำลังร้อนแรงในปัจจุบัน โดยเฉพาะบริบทของภูมิภาคเอเชีย 

หนึ่งในเซสชั่นที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วม คือ "The Future of Investment”  ที่ได้เหล่า Venture Capital (VC) รุ่นใหม่ นำโดย Anuvrat Jain ผู้อำนวยการ Lightspeed India, Jeffrey Wu ผู้อำนวยการ MindWorks Capital และ Ysabel Chua รองประธาน Forge Ventures ร่วมพูดคุยกันถึงอนาคตของการลงทุนที่กำลังมองข้ามพรมแดน “จีน” สู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาค อีกทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนภาพการลงทุนตอนนี้

หนึ่งในแกนหลักของวิสัยทัศน์การลงทุน คือ การใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างของ “จีน” เพื่อต่อยอดในระดับเอเชีย โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาจีนถูกมองว่าเป็น “จุดตั้งต้น” ของวิสัยทัศน์การลงทุน ทั้งจากข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างด้านห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Deep Supply Chain) โดยเฉพาะศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยี โดยเกือบครึ่งหนึ่งของนักวิจัย AI ชั้นนำของโลกอยู่ในจีน

ในแง่โครงสร้างการลงทุน บริษัทจำนวนมากที่ออกจากจีนมักเริ่มต้นผ่าน “ฮ่องกง” ในฐานะ Offshore USD Hub ที่ทำให้กองทุนในพื้นที่สามารถเข้าถึงดีลสำคัญและช่วยผู้ประกอบการขยายสู่ตลาดนานาชาติ ควบคู่กับการใช้ทีมวิศวกรระดับโลกในจีน และการปรับกลยุทธ์ Go-to-Market (GTM) ให้เหมาะกับแต่ละตลาด เช่น อาเซียน

เอเชียกำลังจะกลายเป็น “Testing Ground” สำคัญของ VC 

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • การลงทุนในระดับ Early Stage ยังมีความคึกคัก ขณะที่ Growth Stage ชะลอตัวจากการไหลเข้าของเงินทุนที่ลดลง
  • Stablecoin และการชำระเงินดิจิทัล กำลังเติบโต โดยสิงคโปร์และฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญ
  • ฟิลิปปินส์โดดเด่นด้าน Fintech, อินโดนีเซียมี Consumer Apps และ Direct-to-Customers (D2C) Brands กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อินเดีย 

  • ตลาดอินเดียมีความ Dynamic ครอบคลุมตั้งแต่ Quick Commerce, D2C Brands, Fintech, AI Services 
  • เกิดเทรนด์ใหม่ เช่น AI Toys ที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้
  • การลงทุนใน Semiconductor และ Manufacturing จะเป็นประเด็นใหญ่ใน 12–18 เดือนหน้า รัฐบาลอินเดียอัดงบกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์เพื่อดันอุตสาหกรรมนี้ พร้อมกับการเข้ามาของ Foxconn และ Apple

สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

  • ตลาดยังเผชิญแรงกดดันด้านเงินทุน จากการเข้าถึงเงินทุนที่ยากขึ้นและการล้มของสตาร์ทอัพบางราย ง
  • แต่กลับเกิดเทรนด์ M&A และการลงทุนในธุรกิจดั้งเดิมที่มีกระแสเงินสดสูง เช่น คลินิกทันตกรรมและคลินิกผิวหนัง

จีนและฮ่องกง

  • แม้ Venture Funding ของเอเชียในปีที่ผ่านมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เงินหยวน (RMB) และกองทุน Sovereign Wealth Fund กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญ
  • การลงทุนในจีนต้องพึ่งพา RMB มากขึ้น โดยเฉพาะในเทคโนโลยีที่อ่อนไหวซึ่งเกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ (SOE)
  • บทบาทของกองทุน Sovereign Wealth Fund จะสำคัญยิ่งขึ้นในภูมิภาค รวมถึงในมาเลเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไต้หวัน

  • เทรนด์ร้อนแรงใน Healthcare คือการพัฒนายากลุ่ม GLP-1 สำหรับโรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวเนื่อง เช่น หัวใจ เบาหวาน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • จากเดิมที่เป็นยาฉีด กำลังขยายสู่ยาแบบรับประทาน ซึ่งจะเปิดตลาดผู้ป่วยที่หลีกเลี่ยงเข็ม
  • เนื่องจากโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกเป็นโรคเรื้อรัง ทำให้มีศักยภาพด้าน Pricing Power และรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว

สิ่งที่จะกำหนดอนาคต ไม่ใช่แค่เม็ดเงิน แต่คือ “คุณภาพของผู้ก่อตั้ง” ที่เลือกสร้างธุรกิจในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด

นอกจากนี้อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกมาพูดคุย คือ การปรับกระบวนการ Due Diligence เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการล้มของสตาร์ทอัพ ตั้งแต่มุมมองในการกลับไปสู่พื้นฐานการพิจารณาลงทุน เช่น การตรวจสอบบัญชีโดยผู้ตรวจสอบอิสระ การทำ Audit ทั้ง Statutory, Financial และ Internal อย่างสม่ำเสมอ

โดยคีย์เวิร์ดของนักลงทุนในช่วงนี้ คือ “Profitability” ไม่ใช่เพียงการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบยุค 2021 นักลงทุนบางรายยืนยันจะรักษา Timeline ของการตรวจสอบ แม้ต้องพลาดดีลร้อนแรงหรือในบริบทของ AI นักลงทุนบางรายใช้กลยุทธ์ Verification First, Valuation Second โดยให้ CTO ของบริษัทเป้าหมายส่งข้อมูลดิบมาวิเคราะห์ก่อน เป็นต้น

กล่าวคือ แม้ภูมิทัศน์การลงทุนในเอเชียเผชิญแรงกดดันจากการชะลอเงินทุนและการปรับโฟกัสของ VC แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือคุณภาพของผู้ก่อตั้ง (Founder Quality) ที่เข้มแข็งขึ้น ผู้ที่เลือกสร้างธุรกิจในเวลาที่ท้าทายที่สุดมักเป็นผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่นและศักยภาพสูง ซึ่งอาจเป็นผู้ชนะตัวจริงในรอบใหม่ของตลาด

ดูข้อมูลเพิ่มเติม Forbes Under 30 Summit Asia 2025

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ