
"AI Diffusion Rule" คือ กรอบนโยบายควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสหรัฐอเมริกา ที่ริเริ่มในปี 2022 ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน และยังคงบังคับใช้ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีชิป AI ตกไปอยู่ในมือประเทศคู่แข่ง เช่น จีน รัสเซีย หรือประเทศในกลุ่มเสี่ยงที่อาจ ลักลอบ ส่งต่อ หรือเปิดทางให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านที่อาจกระทบต่อความมั่นคง เช่น การพัฒนาอาวุธ ระบบสอดแนม หรือ AI เพื่อควบคุมประชากร
หลักการสำคัญของ AI Diffusion Rule คือ การแบ่งระดับการควบคุมตาม ‘สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท’ และ ‘สถานที่ที่มีการติดตั้งชิปหรือโมเดล AI’ โดยใช้ระบบ Three-tier system หรือการแบ่งเป็น 3 ระดับเพื่อกำกับว่าใครสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้ในระดับใดบ้าง
Tier 1 ประเทศที่ได้รับอนุญาต ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตร 18 ประเทศ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฯลฯ ซึ่งสามารถเข้าถึงชิป AI ขั้นสูงและโมเดล AI ได้อย่างไม่จำกัด อย่างไรก็ตามบริษัทจากประเทศใน Tier 1 จะถูกจำกัดการติดตั้งโปรเซสเซอร์ของตนในประเทศ Tier 2 ได้ไม่เกิน 7% ของขีดความสามารถการประมวลผลในแต่ละประเทศ และสำหรับบริษัทสหรัฐฯ เองต้องรักษากำลังประมวลผลอย่างน้อย 50% ไว้ในประเทศ
Tier 2 ประเทศกลุ่มควบคุม ถูกเฝ้าระวัง จำกัดจำนวน และต้องได้รับอนุญาตรายกรณีจากกระทรวงพาณิชย์ ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง เม็กซิโก และละตินอเมริกา ซึ่งจะถูกจำกัดปริมาณการนำเข้า GPU สูงสุด 50,000 หน่วย โดยไทยและมาเลเซียถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้
Tier 3 ประเทศที่ถูกห้ามโดยเด็ดขาด เช่น จีน รัสเซีย อิหร่าน เบลารุส ฯลฯ รวมถึงประเทศที่อยู่ในบัญชีควบคุมอาวุธของสหรัฐฯ (U.S. Arms Embargo List) จะถูกห้ามการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและชิป AI จากบริษัทอเมริกันโดยเด็ดขาด โดยมาตรการรอบใหม่นี้อาจขยายไปถึงการนำโมเดล AI ที่ฝึกไว้แล้วไปใช้งาน (Model Weights) หรือแม้แต่การโฮสต์โมเดล AI ในประเทศกลุ่ม Tier 2 ก็จะทำได้ต่อเมื่อผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด
จะเห็นว่าข้อจำกัดนี้ควบคุมการเข้าถึงระยะไกล (Remote Access) แม้จะไม่ส่งชิปไปจีนโดยตรง แต่หากจีนสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่นอกประเทศ รวมถึงอุปกรณ์หรือบริการ Cloud ที่ให้บริการ AI แก่ประเทศเป้าหมายก็ยังถือเป็นความเสี่ยงที่อาจถูกตรวจสอบหรือจำกัดการใช้งาน
ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกข้อจำกัดใหม่เพื่อสกัดกั้นไม่ให้จีน ซึ่งถูกห้ามซื้อชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia โดยตรงนั้นหันมาใช้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทยและมาเลเซียเป็นช่องทางใหม่ในการลักลอบนำเข้าชิประดับสูงผ่านประเทศที่สาม โดยจัดให้ไทยและมาเลเซียอยู่ในกลุ่มประเทศ Tier 2 ภายใต้กรอบนโยบาย AI Diffusion ซึ่งส่งผลให้มีการควบคุมเข้มงวดต่อการเข้าถึงชิปขั้นสูง เช่น NVIDIA H100 และ AMD MI300X
แม้ว่าก่อนหน้านี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศถึง แผนยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งบังคับใช้ช่วงปลายวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ภายใต้ “AI Diffusion Rule” ที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพันธมิตรและบริษัทเทคโนโลยี รวมถึง Nvidia ก่อนหน้านี้ แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ระบุถึงประเด็นนี้ว่า แม้จะห้ามไม่ให้จีนซื้อชิป AI โดยตรง แต่หากชิปเหล่านี้ถูกส่งไปถึงศูนย์ข้อมูลในประเทศที่สามก็อาจทำให้จีนเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์ผ่านพันธมิตร ซึ่งเป็นเหตุผลที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกมองว่าอาจกลายเป็น "ช่องโหว่" ให้จีนลักลอบเข้าถึงเทคโนโลยีผ่านประเทศที่สาม
โดยหากอ้างอิงจากข้อมูลการค้าที่เปิดเผยว่า มีการส่งออกชิปไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงคดีในสิงคโปร์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงเส้นทางปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ AI ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับชิปของ Nvidia ที่ได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถส่งชิปไปยังจีน (ตลาดหลัก) โดยมีการประเมินว่าอาจสูญเงินราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม Nvidia ไม่ได้ตกเป็นเป้าของการสอบสวนครั้งนี้
รายงานจาก Bloomberg ระบุเพิ่มเติม ข้อจำกัดใหม่นี้จะมาพร้อมมาตรการผ่อนปรนสำหรับบริษัทที่มีฐานธุรกิจขนาดใหญ่ในไทยและมาเลเซีย โดยจะมีช่วงผ่อนผันให้บริษัทจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรบางแห่งยังคงสามารถส่งชิป AI ไปยังสองประเทศนี้ได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตในช่วงเวลาหนึ่งหลังประกาศกฎ
นอกจากนี้ยังกำหนดข้อยกเว้นบางประการเพื่อหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนในห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์หลายรายยังคงพึ่งพาศูนย์ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับขั้นตอนสำคัญ เช่น การบรรจุหีบห่อชิป (Packaging) เพื่อให้สามารถใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ จะยังคงบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกชิปภายใต้ AI Diffusion Rule ต่อเหมือนเดิม และยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์จะขยายข้อจำกัดไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่หลังจากนี้
ทั้งนี้ผลกระทบต่อไทยซึ่งถูกจัดอยู่ใน Tier 2 ส่งผลให้มีโควตานำเข้าชิป AI อย่างจำกัด และต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Data Center ในประเทศ นอกจากนี้ผู้ให้บริการอาจต้องพึ่งพา Cloud Infrastructure จากประเทศ Tier 1 เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ แทนการพัฒนาในประเทศ
สำหรับไทย นี่คือสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการกำหนดนโยบายดิจิทัลที่ทันเกมและการวางตำแหน่งตัวเองในภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลกเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายนี้อาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องต่อรองด้านภาษีและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา อีกทั้งการชะลอแผนลงทุน เนื่องจากนักลงทุนอาจกังวลเรื่องข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ รวมถึงขัดขวางแผนการขยายธุรกิจของผู้ให้บริการที่มีอยู่เดิม และทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ ล่าช้าออกไป
อ่านเพิ่มเติม
อ้างอิงข้อมูล Semianalysis , Trendforce , Rand
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -