
“เอเชีย” กำลังกลายเป็นจุดยืนใหม่ของโลกเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่เพียง “ผู้บริโภค” เหมือนดังในอดีต แต่เป็น "ผู้ร่วมสร้าง" อนาคต ในยุคที่บริษัทระดับโลกไม่ได้มองหาเพียงตลาดที่ใหญ่ที่สุดอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็น “พื้นที่ที่เข้าใจนวัตกรรมมากที่สุด” ต่างหาก และ JAI by ONESIAM ในเครือสยามพิวรรธน์ กำลังเปิดประตูบานใหม่นั้น ด้วยการเป็นผู้สร้างสะพานที่เชื่อมต่อนวัตกรรม สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่โลกยังไม่เคยเห็น
ในยุคที่ AI ครอบงำ การแยกแยะมนุษย์จริงกับ AI กลายเป็นความท้าทายใหม่ เมื่อกว่า 50% ของ internet traffic ถูกขับเคลื่อนโดย AI และ bots แล้ว การเปิดตัว World ในไทยจึงเป็นการทดสอบโมเดลใหม่ที่ผสมผสาน Technology, Culture และ Community
และการร่วมมือกับ JAI by ONESIAM ซึ่งเป็น "borderless private club" ที่ใช้ระบบนิเวศของ สยามพิวรรธน์ ผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เชื่อมโยงหลากหลายอุตสาหกรรม กลายเป็นตัวอย่างของการขยายธุรกิจเทคโนโลยีในเอเชียในรูปแบบที่แตกต่าง บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จของ JAI และการร่วมมือกับ World ที่อาจเป็นต้นแบบใหม่สำหรับการขยายธุรกิจเทคโนโลยีในเอเชีย
JAI by ONESIAM : Borderless Private Club
คุณ Momori Hirabayashi Co-Founder of JAI by ONESIAM กล่าวว่า "JAI เป็น borderless private club ซึ่งหมายความว่า เราไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากสำหรับ private members club ในโลก สิ่งนี้ทำให้เราสามารถอยู่ได้ทุกที่และทุกเวลา ปัจจุบันเรามีสมาชิกจากทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ยังครอบคลุมสิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย"
อย่างไรก็ตามการเปิดกว้างแบบไร้พรมแดนนี้ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาด แต่เป็นปรัชญาหลักที่ทำให้ JAI สามารถเคลื่อนที่ไปทุกที่ที่มีนวัตกรรมเกิดขึ้น
"สิ่งที่ทำให้เราพิเศษคือ การรวมผู้ที่มีวิสัยทัศน์ ผู้ประกอบการ จากทุกอุตสาหกรรมและจากทั่วโลก มาแบ่งปันความคิด วิสัยทัศน์ และไอเดียที่พวกเขาอยากลองทำ และ JAI สามารถสนับสนุนพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วยระบบนิเวศของเครือสยามพิวรรธน์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 60 ปี ไม่เพียงแค่ในด้าน luxury retail แต่ยังรวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทใหญ่ๆ ตั้งแต่ hospitality, tech, ไปจนถึง entertainment ด้วย” คุณ Momori กล่าว
สำหรับการเข้าถึงระบบนิเวศนี้หมายถึงการได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงตลาด ความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งระบบนิเวศของสยามพิวรรธน์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้เช่าพื้นที่หรือการให้คำปรึกษา แต่เป็นการร่วมสร้างประสบการณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการพาร์ทเนอร์แต่ละราย ตั้งแต่การใช้สยามพารากอนเป็นพื้นที่ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายในระดับภูมิภาค
จากไอเดียสู่นวัตกรรม: JAI by ONESIAM กับการเชื่อมโยงผู้ประกอบการทั่วโลก
สิ่งที่ทำให้ JAI แตกต่าง คือ การสร้างประสบการณ์พิเศษที่ผสมผสาน Technology, Culture, Art และ Community เข้าด้วยกัน
"JAI เป็นพาร์ทเนอร์กับทั้งผู้ประกอบการและแบรนด์ด้านนวัตกรรมและมีความสร้างสรรค์ที่สุดจากทั่วโลก ไม่เพียงแค่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึง F&B, แฟชั่น, ศิลปะ และ hospitality ด้วย โดยสิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับ JAI คือ เรานำอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันมารวมกันได้" คุณ Momori กล่าว
ดังนั้นเมื่อผู้คนจากแต่ละอุตสาหกรรมมาพบกัน มักจะเกิดมุมมองใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่นวัตกรรมที่ไม่เคยคิดมาก่อน
สำหรับกระบวนการคัดสรรพาร์ทเนอร์ของ JAI มีจุดโฟกัสที่ชัดเจน คือ การมองหาคนที่มีแนวคิดก้าวหน้าและต้องการลองสิ่งใหม่ๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันน่าตื่นเต้นมาก ที่ไม่ได้มองแค่ขนาดของบริษัทหรือความสำเร็จในอดีต แต่มองที่ศักยภาพในการสร้างสิ่งใหม่และความกล้าที่จะทดลอง
JAI x World ออกแบบอนาคต ผ่านการสร้างพื้นที่แห่งนวัตกรรม
ล่าสุด บริษัท Tools for Humanity ผู้พัฒนาเทคโนโลยี World เดินหน้าขยายระบบยืนยันความเป็นมนุษย์สู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยจัดงาน World Day 2025 ครั้งแรกในไทย ภายใต้แนวคิด “World – building trust in the Age of AI” พร้อมประกาศเปิดตัวความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ 11 พันธมิตรระดับชาติ โดยภายในงานครั้งนี้ JAI by ONESIAM เข้ามามีร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีให้กับ World
สำหรับ World เป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีการพิสูจน์ตัวตนมนุษย์ในยุค AI ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นและจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
World กับเทคโนโลยี Orb ที่ช่วยพิสูจน์ตัวตนมนุษย์ในยุค AI เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่เทคโนโลยีขั้นสูงต้องการมากกว่าแค่ตลาด แต่ต้องการ "community ที่เข้าใจ"
คุณ Momori กล่าวว่า "JAI เป็นหนึ่งในการสร้างประสบการณ์พิเศษของเครือสยามพิวรรธน์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทย และ JAI ก็มี DNA แบบเดียวกัน และ World ก็มี DNA เดียวกันเช่นกัน และสิ่งที่พวกเขาทำนั้น เป็นนวัตกรรมที่ตรงกับ DNA ของเรา นั่นคือ พวกเขากำลังลองสิ่งใหม่และสร้างเส้นทางสำหรับคนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เป็นพาร์ทเนอร์และร่วมสร้างอีเวนต์นี้ด้วยกัน"
คุณภัคพล ตั้งตงฉิน Country Manager ประจำประเทศไทย ของ Tools for Humanity กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า "เราโชคดีมากที่มี JAI เป็นพาร์ทเนอร์ เราเชื่อว่า JAI มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งมากของผู้คน บริษัท และชุมชนในประเทศไทย การเป็นพาร์ทเนอร์กับ JAI เราเชื่อว่าเราสามารถสร้างการยอมรับเทคโนโลยีของ World ในประเทศไทยได้"
"ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมาก ในแง่ของจำนวนประชากร เรามี user base ที่ใหญ่และมีนัยสำคัญ เราเห็นเทรนด์การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่ดีมาก ประชากรไทยโดยทั่วไปเปิดใจในการลองเทคโนโลยีใหม่ๆ สิ่งที่เราแนะนำวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเห็นได้ทั่วไปในโลก แต่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในโลกดิจิทัล ดังนั้นผู้ใช้ต้องเปิดใจต่อเทคโนโลยีที่ใหม่มาก และปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้เลือกประเทศไทยคือ การยอมรับ crypto ในประเทศไทยอยู่ในอันดับสูงสุดของโลก และเราเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยผลักดันให้ได้รับการยอมรับและการเติบโตของเครือข่าย World ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น" คุณภัคพล กล่าวเสริม
มากกว่าเทคโนโลยี คือ การสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ในการขยายเข้าสู่ตลาดเอเชียนั้น JAI ไม่ได้ใช้แนวทาง "Global to Local" แบบเดิม แต่เป็นการพัฒนาแนวคิด "Community-First" ที่เน้นการสร้างชุมชนของคนที่มีวิสัยทัศน์ล้ำหน้าให้มาพบกันและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ดังนั้นสิ่งที่ JAI ทำคือ เราไม่ได้แค่นำเทคโนโลยีมาปรับให้เข้ากับตลาดเอเชีย แต่เราสร้างพื้นที่ให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์เหมือนกันมาเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ นักคิด ศิลปิน หรือนักนวัตกรรม เมื่อคนเหล่านี้มาเจอกัน จึงเกิดการแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้งและสร้างสรรค์ได้มากกว่าการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี
ดังนั้นในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง JAI พิสูจน์ให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการสร้างชุมชนที่เข้าใจกันและกัน ที่ผู้คนสามารถแบ่งปันวิสัยทัศน์ สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ และเติบโตไปด้วยกัน
สำหรับความร่วมมือระหว่าง JAI และ World ในครั้งนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่แสดงให้เห็นศักยภาพของการสร้างชุมชนนวัตกรรมที่ทำให้เอเชียไม่ใช่เพียงผู้ตามแต่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมี JAI เป็นตัวเชื่อมสำคัญในการรวมคนที่มีวิสัยทัศน์ให้มาสร้างอนาคตร่วมกัน