
“มนุษย์คือศูนย์กลาง” ในระยะหลังเรามักจะได้ยินคำนี้กันบ่อยในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกวงการ หลังจากที่ Generative AI กระหึ่มโลกมาสักระยะ คำว่า Productivity กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในแทบทุกบทของวงสนทนา ทุกองค์กรต่างพยายามวิ่งให้ไว เร่งเครื่องให้เร็วขึ้น เพราะกลัวจะต้องกลายเป็นผู้ตามในสนามเทคโนโลยีใหม่อีกครั้ง จนเกิดช่องว่างที่ชวนตั้งคำถามมากมายว่า แล้วมนุษย์จะอยู่ตรงไหนของสมการนี้?
ในโลกที่บริษัทเทคโนโลยีต่างแข่งขันกันด้วยนวัตกรรมและความเร็ว vivo กำลังเดินเกมคนละทาง แทนที่จะเน้นแค่สเปกหรือฟีเจอร์ล้ำ ๆ แต่เลือกที่จะวางตัวเองใหม่ในฐานะผู้นำวิสัยทัศน์ที่เชื่อว่า โลกหลังจากนี้จะต้องอยู่กันแบบ “เทคโนโลยีต้องเข้าใจมนุษย์ ไม่ใช่แค่ให้มนุษย์พยายามที่จะเข้าใจและวิ่งตามเทคโนโลยีอยู่ฝ่ายเดียว”
มร. หู ไป่ซาน รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ vivo แบ่งปันแนวคิดนี้ “Humanity in the Future of Technology” บนเวที Boao Forum for Asia 2025 งานประชุมผู้นำเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระดับเอเชีย
ในบทความนี้ Thairath Money ชวนฉายภาพอนาคตของ vivo ที่ต้องการเป็นมากกว่าแบรนด์สมาร์ตโฟน พร้อมเจาะลึกวิสัยทัศน์ของ vivo ที่มีต่อ AI รวมถึงเบื้องหลังของการพัฒนาอีโคซิสเต็มเทคโนโลยีของตัวเอง และเพราะอะไรบริษัทถึงเชื่อว่าโลกหลังจากนี้ไม่ต้องการแค่ “เทคโนโลยีที่เก่งขึ้น” แต่กลับเป็น “เทคโนโลยีที่เข้าใจมนุษย์มากขึ้น”
vivo แบรนด์สมาร์ตโฟน Top 5 ของโลก ทรงอิทธิพลแค่ไหนในวงการนวัตกรรม?
vivo ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีที่ครบรอบ 30 ปีของบริษัท ด้วยปรัชญาหลักในการดำเนินธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วย 3 แนวคิดสำคัญ ได้แก่ แนวคิดระยะยาว (Long-termism), การให้ความสำคัญกับมนุษย์ (Humanistic Thinking), และการมุ่งเน้นความร่วมมือเพื่อความสำเร็จร่วมกัน (Collaboration and Mutual Achievement)
ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการสื่อสารหลายประเภท ตั้งแต่โทรศัพท์แบบมีสาย ตลอดจนสมาร์ตโฟน ปัจจุบันได้ขยายผลิตภัณฑ์สู่ชุดหูฟัง MR, หุ่นยนต์ในบ้าน และ AI บนอุปกรณ์ (On-device AI) ด้วย
สำหรับการดำเนินธุรกิจของ vivo นั้น ในช่วง 20 ปีแรกของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดจีนเป็นหลัก หลังจากนั้นจึงได้เริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ในระยะแรก vivo เน้นขยายไปยังตลาดที่พฤติกรรมผู้บริโภคไม่ต่างกับจีนมาก อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ต่อมาจึงค่อย ๆ ขยายสู่ตลาดที่มีเจ้าถิ่นที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว อย่างยุโรปและละตินอเมริกา
โดยในปีที่ผ่านมา vivo สามารถขายโทรศัพท์ได้มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีการขยายตัวในระดับโลกอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันรายได้จากการขายสมาร์ตโฟนมากกว่าครึ่งมาจากตลาดต่างประเทศ จนทุกวันนี้ vivo ถือเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนระดับ Top 5 ของโลก
แล้วภายในระยะเวลาแค่ 10 ปี vivo เติบโตเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรในตลาดต่างประเทศ
ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่แค่การรุกแค่เรื่องของราคาและการตลาดอย่างเดียว แต่ vivo เชื่อในแนวทาง “More Local, More Global” ที่ไม่ใช่แค่ "การออกไป" สู่สากล แต่ยังเป็นการ "เข้าไป" ตอบโจทย์ความต้องการในท้องถิ่น ผ่านการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ในแต่ละประเทศอย่างเจาะลึก เพื่อที่จะได้เข้าใจความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทุก ๆ ปีจะมีทั้งพายุไต้ฝุ่นและฤดูฝน ทำให้โทรศัพท์กันน้ำจึงมีความต้องการสูง ขณะที่ในสถานที่เช่น UAE และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งแทบไม่มีฝนเลยจะพบความต้องการสูงสำหรับโทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติกันฝุ่น เป็นต้น
นอกจากสภาพแวดล้อมแล้ว ในด้านพฤติกรรม ผู้ใช้ที่แตกต่างกันยังชอบสถานการณ์การใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ในอินเดียเน้นใช้กล้องถ่ายงานแต่งงาน อินโดนีเซียเน้นภาพครอบครัว ขณะที่ไทยจะเน้นการถ่ายศิลปิน K-Pop และคอนเทนต์โซเชียล ด้วยกลยุทธ์ที่ทำความเข้าใจบริบทท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เอง จึงทำให้ vivo สามารถเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ vivo ถึง 500 ล้านคน ขยายไปแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก และมียอดขายต่างประเทศมากกว่า 50% และคาดว่าจะเติบโตเป็น 60% ในปี 2569 และประมาณ 70% ในปี 2570
vivo สร้างอีโคซิสเต็มเทคโนโลยี และมุมมองที่มีต่อ AI
แม้ว่าทุกวันนี้ภาพจำของคนส่วนใหญ่จะมอง vivo เป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน แต่ความน่าสนใจ คือ บทบาทใหม่ที่ vivo กำลังก้าวต่อไปในยุค AI ภายในงาน Boao Forum for Asia 2025 บริษัทได้มีการเปิดตัวชุดเทคโนโลยีภายใต้ชื่อ Blue Technology Matrix (BlueTech) ซึ่งเป็นนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต ที่จะประกอบด้วย BlueOS, BlueImage, BlueLM, BlueChip และ BlueVolt ซึ่งครอบคลุมระบบปฏิบัติการ โมเดล AI เทคโนโลยีภาพถ่ายขั้นสูง ชิปประมวลผล ไปจนถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยุคใหม่
สำหรับ BlueTech ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีเพื่อการแข่งขันในตลาดสมาร์ตโฟนที่ดุเดือด แต่เป็นความพยายามของ vivo ในการสร้าง “อีโคซิสเต็มเทคโนโลยีของตัวเอง” อย่างยั่งยืน ที่ทำให้ vivo ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยีคนอื่น แต่สามารถควบคุม core technology ได้เอง พร้อมขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นอีกหนึ่งสัญญาณของ Digital Sovereignty ที่หลายประเทศกำลังเร่งพัฒนา เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ และผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกวันแบบนี้
ทั้งนี้ มร. หูไป่ ซาน ได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ของ vivo ที่มีต่อ AI ว่า ประสบการณ์ AI ที่ดีขึ้นอยู่กับ 2 องค์ประกอบสำคัญ คือ โมเดล AI ขนาดใหญ่และข้อมูล ปัจจุบัน vivo กำลังพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ "Blue Star" ซึ่งเน้นการทำงานบนอุปกรณ์ (On-device)
บริษัทมองว่าโทรศัพท์จำเป็นต้องได้รับการอัปเกรดจากสมาร์ตโฟนแบบดั้งเดิมไปสู่ "โทรศัพท์ AI" โดยความแตกต่างสำคัญอยู่ที่การจัดการข้อมูลที่เป็นส่วนตัว การปรับให้เข้ากับท้องถิ่น และมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น นี่คือเหตุผลที่ vivo จำเป็นต้องพัฒนาโมเดล AI ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ผู้ใช้บางอย่างต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างอุปกรณ์และคลาวด์ บริษัทจึงใช้จุดแข็งของโมเดลหลากหลายรูปแบบ โดยเน้นว่า สุดท้ายแล้ว ผู้ใช้ไม่สนใจว่าใช้โมเดล AI อะไรเบื้องหลังบ้าง แต่สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการคือ ‘ประสบการณ์การใช้งานที่ดี’ เท่านั้นเอง
vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนสู่ผู้สร้างสะพานเชื่อมโลกจริงและโลกดิจิทัล
จากอีโคซิสเต็มเทคโนโลยีที่ vivo สร้างเองนั้น ไม่เพียงแค่ช่วยปูทางในการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ทุกวันนี้ vivo ไม่ได้วางตัวเป็นแค่บริษัทสมาร์ตโฟนอีกต่อไป แต่ vivo นิยามตัวเองว่าเป็น "สะพานเชื่อมระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัล" โดยเชื่อว่า เทคโนโลยีต้องไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่รวมถึงอารมณ์ ความสัมพันธ์ และบริบทของมนุษย์อีกด้วย ด้วยแนวคิดนี้จึงทำให้บริษัทขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่หูฟัง MR (Mixed Reality) และหุ่นยนต์ด้วย
• หูฟัง MR
สำหรับหูฟัง MR นั้น vivo มองเป็น 2 มิติ โดยมิติแรก จะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค โดยวางแผนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมปีนี้ มิติที่สอง จะเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับอนาคต โดย vivo เรียกหูฟัง MR ว่าเป็น "ดวงตาของคน" ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ในอนาคต หากไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการรับรู้เชิงพื้นที่ผ่านหูฟังได้ดี หุ่นยนต์ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ MR ยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการฝึกโมเดล AI ที่จะนำไปใช้กับหุ่นยนต์ในระยะต่อไปด้วย
• หุ่นยนต์ครอบครัว
ในอนาคตเราอาจมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มที่เข้าใจและช่วยเหลือทุกคนได้ ที่ไม่ใช่ “คน” แต่เป็น “หุ่นยนต์” ที่มีทุกบ้าน เหมือนสมาร์ตโฟนในทุกวันนี้ที่เชื่อมโลกทั้งใบเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นการพัฒนาหุ่นยนต์ของ vivo จึงเป็นการพัฒนาเพื่อตลาดสำหรับผู้บริโภค (2C) ไม่ใช่ธุรกิจ (2B) โดยยึดหลักการแก้ปัญหาของผู้ใช้ในสถานการณ์เฉพาะและให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง แนวคิดนี้ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุในจีนและข้อจำกัดในการรวมตัวของสมาชิกครอบครัว
บริษัทมุ่งเน้นพัฒนา “สมอง” และ “ดวงตา” ของหุ่นยนต์ มากกว่าโครงสร้างกลไกทางกายภาพ โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพและ AI ที่สั่งสมมา ซึ่งเทคโนโลยีการถ่ายภาพช่วยให้หุ่นยนต์เข้าใจสถานการณ์ครอบครัว ขณะที่ AI แปลงข้อมูลทางกายภาพเป็นดิจิทัล เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่ไม่เพียงแก้ปัญหาเชิงเทคนิค แต่ยังตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ การสื่อสาร และปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ แม้ว่าการพัฒนาให้สมบูรณ์จะต้องใช้เวลา
นอกจากนี้ vivo ได้จัดตั้ง vivo Robotics Lab ห้องปฏิบัติการวิจัยหุ่นยนต์ ที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมประสบการณ์และความรู้ของบริษัทมาอย่างยาวนาน ทั้งด้าน AI และเทคโนโลยีการถ่ายภาพ โดย vivo เชื่อว่าประมาณ 80% ของความสามารถที่มีอยู่ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาหุ่นยนต์ได้ รวมถึงการใช้ตลาดเป้าหมายในอนาคตและช่องทางการขายเดิมด้วยเช่นกัน เพราะบริษัทเชื่อว่าในอนาคตหุ่นยนต์ยังสามารถสร้างอีโคซิสเต็มที่เชื่อมโยงกับสมาร์ตโฟนได้อย่างลงตัว
สรุป
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ความสำเร็จของ vivo ไม่ได้มาจากการแข่งขันด้านราคาหรือการตลาดเท่านั้น แต่เป็นดอกผลของการวางรากฐานธุรกิจที่เกิดจาก 3 แกนหลัก ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิด คือ คิดยาว (Long-termism) คิดลึก (Humanistic Thinking) และคิดถึงคน (Collaboration and Mutual Achievement) ประกอบกับกลยุทธ์ More Local, More Global ที่เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง
จากการเปิดตัวนวัตกรรม Blue Technology Matrix ในเวที Boao Forum for Asia 2025 ไปสู่การสร้างอีโคซิสเต็มด้าน MR, AI และหุ่นยนต์ แสดงให้เห็นว่า vivo ไม่เพียงมุ่งมั่นที่จะเป็น "ผู้นำทางเทคโนโลยี" แต่ต้องการเป็น "ผู้นำทางแนวคิดที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง"
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนคำถามสำคัญที่ว่า “เทคโนโลยีจะตอบโจทย์ชีวิตมนุษย์อย่างไร?” ไม่ใช่แค่ “จะล้ำได้แค่ไหน?” สะท้อนให้เห็นว่า vivo เป็นแบรนด์จีนที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องของความคุ้มค่า แต่ทุกนวัตกรรมได้รับการคิดขึ้นมาจากความเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริง