Tesla เปิดยอดส่งมอบรถยนต์ในปี 2024 จำนวน 1,789,226 คันทั่วโลก ซึ่งน้อยกว่ายอดส่งมอบในปี 2023 ประมาณ 2.2% ที่ 1,808,581 คัน แม้ยอดขายจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงปลายปีและแตะระดับสูงสุดประจำไตรมาส แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ด้วยจำนวน 495,570 คัน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องขายรถยนต์ให้ได้ 515,000 คันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตตลอดทั้งปี
บริษัทรายงานตัวเลขยอดผลิตทั้งหมดของ Q4/2024 อยู่ที่ 459,445 คัน ยอดส่งมอบทั่วโลกอยู่ที่ 495,570 คัน ขณะที่ยอดผลิตรวมทั้งหมดต่อปีของปี 2024 อยู่ที่ 1,773,443 คัน ยอดส่งมอบทั่วโลกต่อปีอยู่ที่ 1,789,226 คัน แบ่งเป็นรถโมเดล 3 และโมเดล Y รวมกัน 1,704,093 คัน และโมเดลรุ่นอื่นรวมกัน 85,133 คัน โดยรวมแล้วนับเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีของยอดขายประจำปี อย่างไรก็ตามผลประกอบการ Q4/2024 ฉบับเต็มจะประกาศอีกครั้งในวันที่ 29 มกราคม 2025
ราคาหุ้นของ Tesla ร่วงลงสูงสุด 7% ระหว่างซื้อขายในเวลาทำการเมื่อผลประกอบการรายปีออกสู่สาธารณะ ขณะที่ราคาหุ้นปรับระดับเพิ่มขึ้นกว่า 63% ในปีที่ผ่านมา โดยพุ่งสูงต่อเนื่องในช่วงปลายปี ภายหลังจากการมีส่วนร่วมของ Elon Musk ในการหาเสียงร่วมกับว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พลิกกลับครั้งใหญ่จากไตรมาสแรกเมื่อหุ้นร่วงลง 29% ซึ่งเป็นช่วงที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 เนื่องจากบริษัทต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลง
บทความที่เกี่ยวข้อง
คาดปีนี้ Tesla อาจเผชิญกับความท้าทายหนักหลากหลายประการที่ตอกย้ำว่าการเติบโตที่ไม่ดีนักในปี 2025 ตามที่ Elon Musk กล่าวเตือนนักลงทุน
ยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์ทั่วโลกส่งสัญญาณว่า Tesla เผชิญกับการทำตลาดและการเข้าถึงผู้ซื้อรายใหม่ ๆ ขณะที่ความคาดหวังว่า Cybertruck จะกระตุ้นการรับรู้และรายได้ของบริษัทปรากฏว่าก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในปีแรกของการขายแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันสมรภูมิ EV ยังคงดุเดือดขึ้นอีกระดับ ไม่ว่าจะเป็นจากคู่แข่งฝั่งเอเชียที่มีการเดินเครื่องธุรกิจที่เข้มข้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Hyundai จากเกาหลีใต้และ BYD ยักษ์ใหญ่จากจีนด้วยปริมาณยอดขายทั่วโลกเฉพาะ EV ที่หายใจรดต้นคอมาอย่างต่อเนื่อง และแบรนด์อื่นๆ ในจีน Chery, Li Auto, Jetour, LeapMotor และ Aito มียอดขายที่เติบโตเร็วกว่า Tesla อย่างเห็นได้ชัด
มากไปกว่านั้นในปีที่ผ่านมา Tesla เผชิญกับการแข่งขันอย่างหนักจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ อย่าง General Motors, Ford และ Rivian รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของยุโรปอย่าง BMW และ Volkswagen ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดในยุโรป ทำให้ Tesla ประสบปัญหาด้านยอดขายที่ลดลงอย่างรวดเร็วกว่า 14% ในภูมิภาคนี้เช่นเดียวกัน
ปีที่ผ่านมา Tesla ลงทุนหนักไปกับการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์และการผลิต Robotaxi ที่วางแผนเปิดให้บริการเรียกรถโดยสารแบบไร้คนขับก่อนปี 2027 รวมถึงโปรเจกต์โมเดลราคาประหยัดอย่าง Tesla 2 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นแผนการที่คาดหวังว่าจะนำไปสู่การเติบโตของบริษัท 20% - 30% เมื่อเทียบกับปี 2024 จากที่ได้กล่าวกับนักลงทุนในการรายงานผลประกอบการล่าสุดของ Tesla
ด้านนักลงทุนมองว่าความสามารถของบริษัทในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปี 2025 ยังต้องเจอกับอุปสรรคอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าถูกยกเลิกภายใต้การนำของทรัมป์ที่ต้องการยกเลิกนโยบายสนับสนุน EV ทุกประการของโจ ไบเดน อย่างไรก็ตามคาดว่าทรัมป์อาจผ่อนปรนกฎเกณฑ์ของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อ Tesla อีกทั้งความสัมพันธ์อันดีระหว่างทรัมป์และมัสก์ที่อาจมีบทบาทในรัฐสภา อาจช่วยส่งเสริมอาณาจักรของ
ดูเหมือนว่ารถ Tesla โมเดลคลาสสิกจะถึงจุดอิ่มตัวและการพึ่งพาโปรเจกต์หรือโมเดลรถใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีแผนการแน่ชัดจะทำให้บริษัทต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เพราะกำไรสัดส่วนใหญ่ของ Tesla ยังมาจากรถยนต์เป็นหลัก เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำความท้าทายของ Tesla ในปี 2025 ที่เราต่างต้องจับตากันต่อไป
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -