ทรัมป์จะปฏิวัติการศึกษาสหรัฐฯ ให้เรียนวิชา AI ตั้งแต่อนุบาล เปิดทางบิ๊กเทคร่วมโครงการ

แม้ว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารงานของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ในกระบวนการรื้อกระทรวงศึกษาธิการ (Department of Education) ของสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังต้องการมีบทบาทในการสนับสนุนและผลักดันภาคการศึกษา โดยล่าสุด The Washington Post มีรายงานออกมาว่า ทรัมป์ได้ร่างคำสั่งบริหาร (Executive Order) ฉบับใหม่ ที่จะบังคับให้การศึกษาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล (เด็กอายุเพียง 5 ขวบ) เป็นต้นไป

แม้คำสั่งนี้ยังไม่ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ แต่เนื้อหาเบื้องต้นของเอกสารชี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ เตรียมขยายบทบาทของ AI ในระบบการศึกษาอย่างกว้างขวาง

ในคำสั่งบริหารชื่อว่า “Advancing Artificial Intelligence Education for American Youth” มีรายละเอียดสำคัญดังนี้

• สั่งให้หน่วยงานรัฐบาลกลางช่วยฝึกอบรมเด็กนักเรียน K-12 (ตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมปลาย) ให้ใช้ AI เป็น และให้บูรณาการ AI เข้ากับกิจกรรมการเรียนการสอน
  
  
• เปิดทางให้บริษัทเอกชนด้าน AI เข้ามามีบทบาทในการสร้างหลักสูตรและโปรแกรมสำหรับใช้ในโรงเรียน แม้จะไม่ได้ระบุชื่อบริษัท แต่สื่อคาดว่าบริษัทอย่าง xAI ของอีลอน มัสก์ และ OpenAI อาจอยู่ในข่ายผู้ร่วมโครงการ
  
  
• ตั้งเป้าพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมครู เพื่อให้สามารถใช้ AI ในการพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และแม้ว่าก่อนหน้านี้ ทรัมป์จะมีแผนยุบกระทรวงศึกษาธิการ แต่ในร่างคำสั่งฉบับนี้ระบุให้ Linda McMahon รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปรับการจัดสรรทุนการศึกษา เน้นการอบรมครูให้ใช้ AI ตั้งแต่การสอน การประเมินผล ไปจนถึงการพัฒนาวิชาชีพครูในทุกสาขาวิชา

เป้าหมาย คือการทำให้ครูทุกคนสามารถบูรณาการ AI ในการสอนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือแม้แต่ศิลปะ

เปิดตัวโครงการใหม่ ๆ จุดประกายเด็กอเมริกัน

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือการเปิดตัวโครงการ “Presidential AI Challenge” ซึ่งจะเป็นการแข่งขันแสดงทักษะ AI สำหรับทั้งนักเรียนและครู เพื่อส่งเสริมความสามารถในการพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยี AI อย่างสร้างสรรค์

พร้อมกับมีคำสั่งมอบหมายให้ Lori Chavez-DeRemer รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จัดตั้งโครงการ “Registered Apprenticeships” หรือการฝึกงานที่ได้รับการรับรอง ในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยมุ่งเป้าไปยังนักเรียนระดับสูงและแรงงานใหม่ เพื่อสร้างแรงงาน AI ที่พร้อมสำหรับอนาคต

เปิดกว้างความร่วมมือรัฐ-เอกชน ดึงบิ๊กเทคเข้าโครงการ

นอกจากนี้ คำสั่งบริหารยังเน้นการสร้าง Public-Private Partnership ระหว่างหน่วยงานรัฐกับบริษัทเทคโนโลยี AI ชั้นนำ เพื่อช่วยสอนทักษะ AI พื้นฐานและการคิดวิเคราะห์ให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งปัจจุบันบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Google, OpenAI, Anthropic, Mistral ก็มีสัญญาทดลองโมเดล AI กับรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น ผ่านกระทรวงกลาโหม, กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Regulatory Commission)

ทั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์ได้เพิ่มการลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนา AI ของรัฐบาลกลางขึ้นอีก 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว นับตั้งแต่ปี 2021 และมีงบปีนี้มีสูงถึง 11,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่นับโปรแกรมที่เป็นความลับ) เพื่อผลักดันโครงการ AI ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำสั่งของทรัมป์จะยังไม่ถูกลงนาม แต่อิทธิพลของ AI ต่อระบบการศึกษาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด รัฐแคลิฟอร์เนียก็ได้ออกกฎหมายบังคับให้สอน “ความรู้พื้นฐานด้าน AI” ในโรงเรียน K-12 ตั้งแต่ภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน ฝั่งยุโรปก็เดินหน้าเร็วไม่แพ้กัน หลังจาก กฎหมาย AI Act ของสหภาพยุโรป มีผลบังคับใช้เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กำหนดให้บริษัทที่ใช้ AI ต้องฝึกอบรมบุคลากร เพื่อให้เข้าใจโอกาส ความเสี่ยง และผลกระทบจากการใช้ระบบ AI อย่างรอบด้าน

จีนแซงหน้า ประกาศบรรจุหลักสูตร AI ไปแล้ว

รัฐบาลจีนประกาศนโยบายใหม่ ผลักดันหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) สู่ห้องเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในกรุงปักกิ่ง โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการขับเคลื่อนประเทศให้เป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: จีนเดินหน้าปั้นทาเลนต์ บรรจุหลักสูตร AI ในโรงเรียน เริ่มตั้งแต่ประถม-มัธยม ตั้งเป้าเป็นมหาอำนาจเทค

โดยวิชาเรียน AI นี้จะเป็นหลักสูตรอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปีการศึกษา ซึ่งโรงเรียนสามารถจัดเป็นวิชาเฉพาะทางแยกต่างหาก หรือจะบูรณาการเข้ากับวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เดิมก็ได้

ทั้งนี้ รัฐบาลจีน มองว่า “การปฏิวัติด้านเทคโนโลยีที่นำโดย AI คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของระบบการศึกษา” โดยรัฐบาลจีนเตรียมเผยแพร่สมุดปกขาว (White Paper) ด้านการศึกษา AI ภายในปี 2025 เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาหลักสูตรให้สอดรับกับโลกอนาคต

ที่มา: Whitehouse, Fast Company

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney