
นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information enter Foundation) หรือ “ iTIC” เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอุบัติเหตุเป็นอันดับ 9 ของโลก มีผู้เสียชีวิต 17,379 คน/ปี หรือ กว่า 48 คน/วัน มีฝุ่นควันพิษมากเป็นอันดับที่ 30 ของโลก และกรุงเทพฯ รถติดเป็นอันดับ 32 ของโลก
มูลนิธิฯ พร้อมระดมพลังความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อนข้อมูล Big Data ระหว่างหน่วยงานต่างๆ นำมาประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูลแก้ปัญหาจราจร และลดอุบัติเหตุแบบเรียลไทม์ เช่น การปิดจราจร, อุบัติภัย, ไฟไหม้, เมฆฝน, และน้ำท่วม ภัยพิบัติ, หรือแม้กระทั่ง ฝุ่น PM2.5 ตลอด 24 ชั่วโมง และที่สำคัญ มีการแจ้งเตือนการเกิดอุบัติเหตุ ให้ผู้ขับขี่ที่เดินทางไปในบริเวณรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุด้วย
ทั้งนี้ iTIC รายงานข้อมูลแบบ real time traffic โดยใช้ข้อมูลจาก Vehicle Probe กว่า 100,000 คัน วิ่งอยู่ทั่วประเทศมาประมวลผล แสดงบน Digital Map มีกล้อง CCTV รวมทั้งหมด 282 กล้อง อนาคตมีแผนขยายการเชื่อมต่อกล้อง CCTV จากเทศบาลเมืองภูเก็ต อุดรธานี หนองคาย เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด กล้อง CCTV นอกจากใช้ประโยชน์ในการดูสภาพจราจรแบบ real time แล้วยังใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุ มีการเสนอจุดฝืดของจราจร 20 จุดใน กทม. และจุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่กทม. และที่ฉะเชิงเทรา
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ “ความพร้อมของการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย” โดยระบุถึงนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นสร้างความปลอดภัยลดอุบัติเหตุในการเดินทางของประชาชน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีและลดต้นทุนในการเดินทาง และเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเสริมว่า นโยบายของกทม. มุ่งเน้นให้ผู้คนเดินทางให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัย บน “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” แต่ปัจจุบันยังพบว่าปัญหาการเดินทางของประชาชน คือ การเชื่อมต่อจุดหมายปลายทางของการเดินทาง บางเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้ายังไปไม่ถึง โดยปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาส่วนใหญ่ คือ เรื่องปัญหาการเดินทางถนนและปัญหาบนทางเท้า ทั้งนี้กทม.มีแผนจะปรับปรุงทางเท้าใหม่ โดยใช้มาตรฐานใหม่ในการก่อสร้างทั้งวัสดุผิวทางเท้า, คอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 10 ซม.
ทั้งยังมีแผนดำเนินการก่อสร้างทางเดินสำหรับกันแดดและกันฝนเพื่อเชื่อมต่อป้ายรถประจำทางและสถานีรถไฟฟ้า นอกจากนี้ขณะเดียวกันกทม.ยังมีโครงการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ด้วยการติดตั้งระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรเป็นพื้นที่ (ATC) โดยเป็นการนำข้อมูล Probe Data มาใช้ในพื้นที่โครงการ ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนลง 10% และลดความล่าช้าการเดินทางนอกชั่วโมงเร่งด่วนลง 30% โดย กทม.มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาจุดฝืด-จุดรถติด เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและลดอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน
ภายในงานสัมมนาช่วงเช้ามีการบรรยาย ดังนี้ โดยได้รับเกียรติจาก Vehicle Information and Communication Systems (VICS) และ Intelligent Transportation Society of Taiwan (ITS Taiwan) มาแชร์ประสบการณ์ความสำเร็จในการแก้ปัญหาจราจรและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดจนเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จะพูดถึง “ศักยภาพของเอกชนไทยในการขับเคลื่อนสมาร์ทโลจิสติกส์ รถ-เรือ-ราง” ด้วย Green Transportation
จากนั้นจะเป็นช่วง เสวนา นำโดย ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในหัวข้อ “โอกาสของไทยในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมแห่งภูมิภาคเชื่อมไทยเชื่อมโลก” สร้างระบบ Feeder ไปยังสถานีขนส่งมวลชนได้อย่างไร โดยมีกรมการขนส่งทางราง, การรถไฟแห่งประเทศไทย, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาในช่วงบ่าย รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รศ.ดร. วิศณุ ทรัพย์สมพล นำเสนอ “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” จากนั้น บริษัท ช.การช่าง โดย ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ จะมาพูดเรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางอัจฉริยะและสังคมที่ยั่งยืนในประเทศไทย”
บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย โดย คุณ ฮิเดโอะ อิวาซาวะ จะมาพูดถึงการใช้ข้อมูลในการสร้างคุณค่าร่วมกันและเสวนา นำโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข พูดถึงประสบการณ์และยกตัวอย่างการลดอุบัติเหตุและช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บบนถนน ของจังหวัดขอนแก่น Model ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ว่าทำอย่างไร โดยมี กรมทางหลวง, กรมทางหลวงชนบท, กรมการขนส่งทางบก ร่วมเสวนา
สุดท้ายเป็นการเสวนาหัวข้อ “พลังของข้อมูลในระบบคมนาคมขนส่ง สู่อนาคต” นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการโดยผู้สนับสนุนหลัก, SME และ Start up ถึง 30 บูท ปิดท้ายด้วย Big Surprise ช่วงท้ายของงาน โดยมีผู้สนใจทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 300 รายเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว