
สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น BlackRock และ Citi เข้ามาลงทุนและพัฒนาระบบคริปโตฯ อย่างจริงจัง
คริปโตเคอเรนซี ภาพจำที่หลายคนมีคือความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรและวงจรของการล่มสลาย แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันกลับแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่ออุตสาหกรรมนี้กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างระบบการเงินโลก
รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money ได้สำรวจอินไซท์จากงาน Binance Blockchain Week 2025 ณ กรุงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้เห็นภาพว่าในเวทีระดับโลก คริปโตเคอเรนซีกำลังถูกพูดถึงอย่างไร และอนาคตของระบบการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
ย้อนรอยประวัติศาสตร์
2009-2013: ยุคกำเนิด Bitcoinเกิดขึ้นหลังวิกฤตการเงินปี 2008 จากความไม่เชื่อใจระบบการเงินดั้งเดิม ในช่วงแรก Bitcoin ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่นสำหรับกลุ่ม geek และถูกเชื่อมโยงกับตลาดมืดมากกว่านวัตกรรมการเงิน
2017: ยุค ICO Boomทุกคนสามารถออกเหรียญและระดมทุนได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่กลายเป็น scam หรือโครงการไร้คุณภาพ เมื่อฟองสบู่แตก นักลงทุนขาดทุนหนัก และหน่วยงานกำกับดูแลเริ่มเข้ามาให้ความสนใจ
2020-2021: DeFi Summer และ NFT Maniaเทคโนโลยีเริ่มพัฒนาและน่าสนใจขึ้น แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยการเก็งกำไร rug pull และโครงการที่หายไปในชั่วข้ามคืน
2022: ปีมืดของคริปโตTerra/Luna ล่มสลาย ตามด้วย FTX ล้มละลาย เหตุการณ์ต่อเนื่องเหล่านี้ทำให้หลายคนเชื่อว่า "คริปโตตายแล้ว" และบังคับให้วงการต้องทบทวนความโปร่งใสและมาตรฐานทั้งหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน เพราะผู้เข้ามาในตลาดไม่ใช่แค่เทรดเดอร์รายย่อยอีกต่อไป แต่เป็น Wall Street, ธนาคารระดับโลก และรัฐบาล
จากงาน Binance Blockchain Week ที่ดูไบ สิ่งที่มีการพูดคุยกันไม่ใช่เรื่อง "เหรียญไหนจะปั๊มต่อไป" แต่เป็นการมาของสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อคุยกันเรื่อง "โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเงิน" สะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เติบโตไปไกลเกินกว่าการมองแค่ crypto cycle แล้ว
Richard Teng ซีอีโอร่วมของ Binance ยืนยันว่าคริปโตกำลังเปลี่ยนจาก "สินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม" มาสู่ "กระแสหลัก" อย่างแท้จริง
1. สถาบันการเงินเข้ามาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทดลอง
การเข้ามาของ Wall Street ในครั้งนี้แตกต่างจากอดีต โดยมีผู้บริหารจากสถาบันระดับโลกหลายแห่งแสดงจุดยืนที่ชัดเจน:
BlackRock เปิดเผยว่าศึกษาเรื่องคริปโตมา 10 ปีแล้ว และกำลังทำสองสิ่งพร้อมกัน คือ นำคริปโตมาห่อหุ้มด้วยโครงสร้างที่คนทั่วไปคุ้นเคย อย่าง ETF และในทางกลับกัน ก็นำสินทรัพย์ดั้งเดิมมา tokenize เพื่อให้โลก Web3 เข้าถึงได้ นี่คือการสร้างสะพานเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน
Julius Baer ระบุว่าในฝั่งสถาบัน เงินไหลเข้า Crypto ETF มากกว่าการเทรดแบบ Spot ถึง 5 เท่า เนื่องจาก ETF สะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา
Citi ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มหนุนหลัง Stablecoins ในฐานะเทียบเท่าเงินสด ทำให้ธนาคารทุกแห่งต้องเตรียมพร้อมรองรับในอีก 3 ปีข้างหน้า
สถิติที่น่าสนใจ: ปัจจุบัน 8 ใน 10 ธนาคารชั้นนำของสหรัฐฯ ให้บริการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคริปโตแล้ว
Franklin Templeton สรุปได้ตรงประเด็นว่า ในอดีตการพูดเรื่องคริปโตอาจเป็นความเสี่ยงต่ออาชีพ แต่ปัจจุบันความเสี่ยงคือการเลือกที่จะ "เพิกเฉย" เพราะตลาดคริปโตมีขนาดใหญ่กว่าตลาด High Yield ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดการเงินดั้งเดิมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งเสียอีก
ตัวเลขที่พูดแทนความเปลี่ยนแปลง
Richard Teng เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า เมื่อ 10 ปีก่อน นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนในตลาดคริปโตไม่ถึง 1% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 20% และยังเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับ Binance เองมีผู้ใช้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านคน และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าสถาบันเปิดบัญชีเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกปี
ที่สำคัญคือ อัตราการยอมรับคริปโตทั่วโลกยังอยู่แค่ประมาณ 8% เท่านั้น หมายความว่าอุตสาหกรรมนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากและมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมหาศาล
เมื่อถึงวันที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ยอมรับและเข้าใจว่าเทคโนโลยีนี้เหนือกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในปัจจุบัน นั่นจะเป็นจุดที่เราเห็น "โค้งการยอมรับครั้งใหญ่" ของคริปโตเริ่มขึ้นจริงๆ
2. เงินในอนาคตจะไม่เหมือนเงินที่เราเคยรู้จัก
หาก Bitcoin เป็น "ทองคำดิจิทัล" สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือการสร้าง "ระบบการเงินดิจิทัล" ที่สมบูรณ์ ผ่าน 3 เรื่องหลัก:
เปรียบเทียบการโอนเงินจากไทยไปอเมริกา หากผ่านธนาคารดั้งเดิม จะใช้เวลานาน ค่าธรรมเนียมแพง แต่ผ่าน Stablecoin ทำได้เกือบทันที ค่าใช้จ่ายเพียงเศษเสี้ยว
ในปีนี้เพียงอย่างเดียว การใช้งาน Stablecoin เพิ่มขึ้น 3 เท่า และมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 50%
Stablecoin ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างรวดเร็วสำหรับการดำเนินงานทั่วโลก โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาทำการของธนาคาร กำลังกลายเป็น Payment Rail ใหม่ของโลก
Tokenization ไม่ใช่แค่การนำสินทรัพย์มาแบ่งขายเป็นส่วนๆ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีที่เราเข้าถึงและซื้อขายสินทรัพย์ โดย "แยกส่วนประกอบทางธุรกิจ" เพื่อสร้างมูลค่าใหม่
ยกตัวอย่างเชิงจินตนาการ หากนำหุ้นเทคอย่าง Tesla มา tokenize ในอนาคตนักลงทุนอาจเลือกซื้อเฉพาะสิทธิ์ในผลกำไรของปี 2036, รายได้จากยอดขายในยุโรป หรือแม้แต่ "แยก" ความเสี่ยงของ Elon Musk ออกมาต่างหากก็ได้
นี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนครั้งใหญ่ เหมือนการปลดล็อกมูลค่าที่เคยถูกขังอยู่ในระบบเดิม
ในระบบเดิม เงินของคุณอยู่กับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยนิด และถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ในโลกดิจิทัล เงินของคุณสามารถทำงานได้ทุกวินาทีไม่มีวันหยุด กองทุนบางตัวคิดผลตอบแทนเป็นวินาที และชำระบัญชีได้แม้ตอนตี 3 วันอาทิตย์
นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับคริปโตต้องการ - ความคล่องตัวและประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบการเงินในอนาคตจะเร็วกว่า ถูกกว่า และยืดหยุ่นกว่าที่เราเคยรู้จัก และโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กำลังถูกสร้างขึ้นจริงๆ ในปัจจุบัน
3. ทำไมรอบนี้อาจจะ "ต่าง" จริงๆ
คำถามที่หลายคนถามคือ นี่ไม่เหมือน cycle เดิมๆ หรือที่สุดท้ายก็จะพังอีก? มี 3 ปัจจัยที่ทำให้รอบนี้อาจแตกต่างจากเดิมจริงๆ:
Trump ประกาศตัวเองว่าเป็น "Bitcoin President" และต้องการให้สหรัฐฯ เป็นเมืองหลวงของคริปโตโลก กฎหมายอย่าง "Genius Act" และ "Clarity Act" สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สหรัฐฯ เปลี่ยนจากต่อต้านคริปโต มาเป็นต้องการเป็นเมืองหลวงคริปโตของโลก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายประเทศต้องปรับตำแหน่งเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
ในยุคก่อนๆ ทุกอย่างเป็นแค่ hype ไม่มี use case จริง แต่ตอนนี้:
Stablecoins กำลังถูกใช้จริงในการโอนเงินข้ามประเทศ (เติบโต 3 เท่าในปีนี้)
Tokenization กำลังเกิดขึ้นจริงในพันธบัตร อสังหาริมทรัพย์
ระบบ Custody ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสถาบัน
Binance เองตอนนี้คือแพลตฟอร์มที่มีการกำกับดูแลมากที่สุดทั่วโลก
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด 50% ของผู้ใช้คริปโตทั่วโลกอายุต่ำกว่า 34 ปี
คนรุ่นนี้เติบโตมากับสมาร์ทโฟน กระเป๋าดิจิทัล และไม่เคยรู้จักโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกเขามีวิธีปฏิสัมพันธ์กับการเงินผ่าน Wallet ซึ่งต่างจากคนรุ่นเก่าที่ยึดติดกับธนาคาร
ลูกค้าเก่าของธนาคารอาจยังยึดติดกับระบบเดิม แต่ลูกหลานของพวกเขารู้จัก Binance, Coinbase เป็นเรื่องปกติ นี่คือโอกาสของสถาบันในการได้ลูกค้าหน้าใหม่ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเข้ามา
Narrative ใหม่ของคริปโตไม่ใช่แค่ "Bitcoin ขึ้นหรือลง" แต่คือระบบนิเวศที่ประกอบด้วย Bitcoin + RWA (Real World Assets) + Stablecoin Economy
อย่ามองแค่ราคาเหรียญที่ขึ้นลง แต่ควรมองว่าใครกำลังสร้าง "โครงสร้างการเงินยุคใหม่" เพราะนั่นคือของจริงที่จะอยู่ยาว
จากอินไซท์ที่ได้จากงาน Binance Blockchain Week สะท้อนให้เห็นว่าคริปโตเคอเรนซี่ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช้า แต่เมื่อเกิดขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง
****เนื้อหาในบทความนี้เป็นการสรุปมุมมองและข้อมูลจากงาน Binance Blockchain Week 2025