วิเคราะห์เบื้องหลัง ทำไมตอนนี้ทั้งรัฐบาล - ธนาคาร  ถึงหันมายอมรับ "คริปโต" ?

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

วิเคราะห์เบื้องหลัง ทำไมตอนนี้ทั้งรัฐบาล - ธนาคาร ถึงหันมายอมรับ "คริปโต" ?

Date Time: 22 ธ.ค. 2568 18:12 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น BlackRock และ Citi เข้ามาลงทุนและพัฒนาระบบคริปโตฯ อย่างจริงจัง

  • Stablecoin เติบโตอย่างรวดเร็วและถูกนำไปใช้ในการโอนเงินข้ามประเทศ
  • Tokenization ช่วยให้สินทรัพย์ต่างๆ สามารถเข้าถึงและซื้อขายได้ง่ายขึ้น
  • ปัจจัยหนุน ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐ, โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง, และกลุ่มผู้ใช้งานรุ่นใหม่
  • Richard Teng ซีอีโอ Binance ชี้ว่าคริปโตฯ กำลังเปลี่ยนจากสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มสู่กระแสหลัก

Latest


คริปโตเคอเรนซี ภาพจำที่หลายคนมีคือความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรและวงจรของการล่มสลาย แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันกลับแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่ออุตสาหกรรมนี้กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างระบบการเงินโลก

รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube  : Thairath Money ได้สำรวจอินไซท์จากงาน Binance Blockchain Week 2025 ณ กรุงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้เห็นภาพว่าในเวทีระดับโลก คริปโตเคอเรนซีกำลังถูกพูดถึงอย่างไร และอนาคตของระบบการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด

จากอดีตสู่ปัจจุบัน: วิวัฒนาการของคริปโตฯ

ย้อนรอยประวัติศาสตร์

2009-2013: ยุคกำเนิด Bitcoinเกิดขึ้นหลังวิกฤตการเงินปี 2008 จากความไม่เชื่อใจระบบการเงินดั้งเดิม ในช่วงแรก Bitcoin ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่นสำหรับกลุ่ม geek และถูกเชื่อมโยงกับตลาดมืดมากกว่านวัตกรรมการเงิน

2017: ยุค ICO Boomทุกคนสามารถออกเหรียญและระดมทุนได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่กลายเป็น scam หรือโครงการไร้คุณภาพ เมื่อฟองสบู่แตก นักลงทุนขาดทุนหนัก และหน่วยงานกำกับดูแลเริ่มเข้ามาให้ความสนใจ

2020-2021: DeFi Summer และ NFT Maniaเทคโนโลยีเริ่มพัฒนาและน่าสนใจขึ้น แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยการเก็งกำไร rug pull และโครงการที่หายไปในชั่วข้ามคืน

2022: ปีมืดของคริปโตTerra/Luna ล่มสลาย ตามด้วย FTX ล้มละลาย เหตุการณ์ต่อเนื่องเหล่านี้ทำให้หลายคนเชื่อว่า "คริปโตตายแล้ว" และบังคับให้วงการต้องทบทวนความโปร่งใสและมาตรฐานทั้งหมด

การเปลี่ยนแปลงในปี 2024-2025

สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน เพราะผู้เข้ามาในตลาดไม่ใช่แค่เทรดเดอร์รายย่อยอีกต่อไป แต่เป็น Wall Street, ธนาคารระดับโลก และรัฐบาล

จากงาน Binance Blockchain Week ที่ดูไบ สิ่งที่มีการพูดคุยกันไม่ใช่เรื่อง "เหรียญไหนจะปั๊มต่อไป" แต่เป็นการมาของสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อคุยกันเรื่อง "โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเงิน" สะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เติบโตไปไกลเกินกว่าการมองแค่ crypto cycle แล้ว

Richard Teng ซีอีโอร่วมของ Binance ยืนยันว่าคริปโตกำลังเปลี่ยนจาก "สินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม" มาสู่ "กระแสหลัก" อย่างแท้จริง

3 ประเด็นสำคัญที่กำลังเปลี่ยนโลกการเงิน

1. สถาบันการเงินเข้ามาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทดลอง

การเข้ามาของ Wall Street ในครั้งนี้แตกต่างจากอดีต โดยมีผู้บริหารจากสถาบันระดับโลกหลายแห่งแสดงจุดยืนที่ชัดเจน:

BlackRock เปิดเผยว่าศึกษาเรื่องคริปโตมา 10 ปีแล้ว และกำลังทำสองสิ่งพร้อมกัน คือ นำคริปโตมาห่อหุ้มด้วยโครงสร้างที่คนทั่วไปคุ้นเคย อย่าง ETF และในทางกลับกัน ก็นำสินทรัพย์ดั้งเดิมมา tokenize เพื่อให้โลก Web3 เข้าถึงได้ นี่คือการสร้างสะพานเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน

Julius Baer ระบุว่าในฝั่งสถาบัน เงินไหลเข้า Crypto ETF มากกว่าการเทรดแบบ Spot ถึง 5 เท่า เนื่องจาก ETF สะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา

Citi ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มหนุนหลัง Stablecoins ในฐานะเทียบเท่าเงินสด ทำให้ธนาคารทุกแห่งต้องเตรียมพร้อมรองรับในอีก 3 ปีข้างหน้า

สถิติที่น่าสนใจ: ปัจจุบัน 8 ใน 10 ธนาคารชั้นนำของสหรัฐฯ ให้บริการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคริปโตแล้ว

Franklin Templeton สรุปได้ตรงประเด็นว่า ในอดีตการพูดเรื่องคริปโตอาจเป็นความเสี่ยงต่ออาชีพ แต่ปัจจุบันความเสี่ยงคือการเลือกที่จะ "เพิกเฉย" เพราะตลาดคริปโตมีขนาดใหญ่กว่าตลาด High Yield ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดการเงินดั้งเดิมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งเสียอีก

ตัวเลขที่พูดแทนความเปลี่ยนแปลง

Richard Teng เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า เมื่อ 10 ปีก่อน นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนในตลาดคริปโตไม่ถึง 1% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 20% และยังเติบโตต่อเนื่อง

สำหรับ Binance เองมีผู้ใช้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านคน และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าสถาบันเปิดบัญชีเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกปี

ที่สำคัญคือ อัตราการยอมรับคริปโตทั่วโลกยังอยู่แค่ประมาณ 8% เท่านั้น หมายความว่าอุตสาหกรรมนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากและมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมหาศาล

เมื่อถึงวันที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ยอมรับและเข้าใจว่าเทคโนโลยีนี้เหนือกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในปัจจุบัน นั่นจะเป็นจุดที่เราเห็น "โค้งการยอมรับครั้งใหญ่" ของคริปโตเริ่มขึ้นจริงๆ

2. เงินในอนาคตจะไม่เหมือนเงินที่เราเคยรู้จัก

หาก Bitcoin เป็น "ทองคำดิจิทัล" สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือการสร้าง "ระบบการเงินดิจิทัล" ที่สมบูรณ์ ผ่าน 3 เรื่องหลัก:

  • Stablecoin: เงินที่วิ่งได้เร็วกว่าธนาคาร

เปรียบเทียบการโอนเงินจากไทยไปอเมริกา หากผ่านธนาคารดั้งเดิม จะใช้เวลานาน ค่าธรรมเนียมแพง แต่ผ่าน Stablecoin ทำได้เกือบทันที ค่าใช้จ่ายเพียงเศษเสี้ยว

ในปีนี้เพียงอย่างเดียว การใช้งาน Stablecoin เพิ่มขึ้น 3 เท่า และมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 50%

Stablecoin ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างรวดเร็วสำหรับการดำเนินงานทั่วโลก โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาทำการของธนาคาร กำลังกลายเป็น Payment Rail ใหม่ของโลก

  • Tokenization: เมื่อทุกอย่างสามารถแบ่งได้

Tokenization ไม่ใช่แค่การนำสินทรัพย์มาแบ่งขายเป็นส่วนๆ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีที่เราเข้าถึงและซื้อขายสินทรัพย์ โดย "แยกส่วนประกอบทางธุรกิจ" เพื่อสร้างมูลค่าใหม่

ยกตัวอย่างเชิงจินตนาการ หากนำหุ้นเทคอย่าง Tesla มา tokenize ในอนาคตนักลงทุนอาจเลือกซื้อเฉพาะสิทธิ์ในผลกำไรของปี 2036, รายได้จากยอดขายในยุโรป หรือแม้แต่ "แยก" ความเสี่ยงของ Elon Musk ออกมาต่างหากก็ได้

นี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนครั้งใหญ่ เหมือนการปลดล็อกมูลค่าที่เคยถูกขังอยู่ในระบบเดิม

  • เงินที่ "ทำงาน" ให้คุณตลอด 24 ชั่วโมง

ในระบบเดิม เงินของคุณอยู่กับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยนิด และถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ทำอะไรไม่ได้เลย

แต่ในโลกดิจิทัล เงินของคุณสามารถทำงานได้ทุกวินาทีไม่มีวันหยุด กองทุนบางตัวคิดผลตอบแทนเป็นวินาที และชำระบัญชีได้แม้ตอนตี 3 วันอาทิตย์

นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับคริปโตต้องการ - ความคล่องตัวและประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบการเงินในอนาคตจะเร็วกว่า ถูกกว่า และยืดหยุ่นกว่าที่เราเคยรู้จัก และโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กำลังถูกสร้างขึ้นจริงๆ ในปัจจุบัน

3. ทำไมรอบนี้อาจจะ "ต่าง" จริงๆ

คำถามที่หลายคนถามคือ นี่ไม่เหมือน cycle เดิมๆ หรือที่สุดท้ายก็จะพังอีก? มี 3 ปัจจัยที่ทำให้รอบนี้อาจแตกต่างจากเดิมจริงๆ:

  • การเมืองเปลี่ยน: จากศัตรูเป็นพันธมิตร

Trump ประกาศตัวเองว่าเป็น "Bitcoin President" และต้องการให้สหรัฐฯ เป็นเมืองหลวงของคริปโตโลก กฎหมายอย่าง "Genius Act" และ "Clarity Act" สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

สหรัฐฯ เปลี่ยนจากต่อต้านคริปโต มาเป็นต้องการเป็นเมืองหลวงคริปโตของโลก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายประเทศต้องปรับตำแหน่งเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน

  • โครงสร้างพื้นฐานถูกสร้างขึ้นจริง

ในยุคก่อนๆ ทุกอย่างเป็นแค่ hype ไม่มี use case จริง แต่ตอนนี้:

  • Stablecoins กำลังถูกใช้จริงในการโอนเงินข้ามประเทศ (เติบโต 3 เท่าในปีนี้)

  • Tokenization กำลังเกิดขึ้นจริงในพันธบัตร อสังหาริมทรัพย์

  • ระบบ Custody ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสถาบัน

  • Binance เองตอนนี้คือแพลตฟอร์มที่มีการกำกับดูแลมากที่สุดทั่วโลก

  • Demographics: คนรุ่นใหม่คิดต่าง

นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด 50% ของผู้ใช้คริปโตทั่วโลกอายุต่ำกว่า 34 ปี

คนรุ่นนี้เติบโตมากับสมาร์ทโฟน กระเป๋าดิจิทัล และไม่เคยรู้จักโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกเขามีวิธีปฏิสัมพันธ์กับการเงินผ่าน Wallet ซึ่งต่างจากคนรุ่นเก่าที่ยึดติดกับธนาคาร

ลูกค้าเก่าของธนาคารอาจยังยึดติดกับระบบเดิม แต่ลูกหลานของพวกเขารู้จัก Binance, Coinbase เป็นเรื่องปกติ นี่คือโอกาสของสถาบันในการได้ลูกค้าหน้าใหม่ และเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเข้ามา

มองไปข้างหน้า: สิ่งที่ควรจับตา

Narrative ใหม่ของคริปโตไม่ใช่แค่ "Bitcoin ขึ้นหรือลง" แต่คือระบบนิเวศที่ประกอบด้วย Bitcoin + RWA (Real World Assets) + Stablecoin Economy

อย่ามองแค่ราคาเหรียญที่ขึ้นลง แต่ควรมองว่าใครกำลังสร้าง "โครงสร้างการเงินยุคใหม่" เพราะนั่นคือของจริงที่จะอยู่ยาว

จากอินไซท์ที่ได้จากงาน Binance Blockchain Week สะท้อนให้เห็นว่าคริปโตเคอเรนซี่ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช้า แต่เมื่อเกิดขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง


****เนื้อหาในบทความนี้เป็นการสรุปมุมมองและข้อมูลจากงาน Binance Blockchain Week 2025 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ