Bitcoin vs Gold สรุปประเด็นสำคัญ ดีเบตครั้งประวัติศาสตร์ อนาคตระบบการเงินโลกขึ้นกับ “ความเชื่อ”

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

Bitcoin vs Gold สรุปประเด็นสำคัญ ดีเบตครั้งประวัติศาสตร์ อนาคตระบบการเงินโลกขึ้นกับ “ความเชื่อ”

Date Time: 8 ธ.ค. 2568 18:18 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

CZ และ Schiff ดีเบตในงาน Binance Blockchain Week 2025 ที่ดูไบ เรื่องอนาคตของเงิน

  • CZ ชู Bitcoin ที่ตรวจสอบได้ง่ายกว่า และมองว่ามูลค่าเกิดจากเครือข่ายและการใช้งาน
  • Schiff ยืนยันว่าทองคำมีคุณค่าจากคุณสมบัติทางกายภาพและประวัติศาสตร์
  • ทั้งคู่เห็นด้วยว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้ทองคำใช้งานได้ง่ายขึ้น
  • การดีเบตจบลงด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร แม้จะมีความเห็นต่างกันในเรื่องปรัชญาการเงิน

Latest


การเผชิญหน้าบนเวทีเดียวกันระหว่าง Changpeng Zhao (CZ) ผู้ก่อตั้ง Binance และ Giggle Academy กับ Peter Schiff นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส และผู้ก่อตั้ง Euro Pacific Asset Management และ Schiff Gold เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในไฮไลต์ที่ทำเอาคนทั่วโลกจับตามองที่สุดของงาน Binance Blockchain Week 2025 ที่กรุงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยหัวข้อสำคัญของการถกเถียง คือคำถามที่ทั้งนักลงทุน สถาบัน และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกต่างหาคำตอบ นั่นคือ Which asset represents the future of sound money, Bitcoin or tokenized gold? และนี่คือประเด็นสำคัญที่ Thairath Money สรุปจากสนทนาจากเวทีดีเบตระดับโลก

ยกที่ 1 : ฉากไวรัลที่หาคำตอบไม่ได้ว่า “ทองแท้หรือปลอม”

ฉากที่น่าจับตามากที่สุดและกลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นเมื่อ CZ หยิบกล่องสีแดงขึ้นมา พร้อมเผยว่าเป็นของขวัญพิเศษที่ได้รับจากประธานาธิบดีแห่งคีร์กีซสถาน ภายในคือทองคำแท่งหนัก 1 กิโลกรัม มูลค่าราว 130,000 เหรียญสหรัฐ บนเวที CZ ยื่นแท่งทองให้ Peter Schiff ตรวจสอบ เมื่อเขาหยิบมาดูก็เกิดความลังเลทันที “สีมันดูเพี้ยนๆ นะ” พร้อมเปรียบเทียบกับกำไลทองคำที่เขาสวมอยู่ เขาบอกว่าไม่คุ้นชื่อโรงกษาปณ์ที่ประทับตราบนแท่งทอง และต้องนำไปตรวจสอบค่าความบริสุทธิ์ก่อนถึงจะเชื่อว่าเป็นของจริง

CZ ใช้จังหวะนี้ตอกกลับทันที “นี่แหละคือปัญหา แม้ทองคำจะอยู่ตรงหน้า เราก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าจริงหรือปลอม ต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญหรือชื่อเสียงของโรงกษาปณ์ แต่ถ้าผมโอน Bitcoin ให้คุณตอนนี้ คุณตรวจสอบบน Blockchain ได้ทันทีโดยไม่ต้องเชื่อใจใคร”

ยกที่ 2 : “มูลค่า” คืออะไร? ศึกปรัชญาการเงิน

หัวใจสำคัญของการดีเบตครั้งนี้อยู่ที่คำถามปรัชญาพื้นฐานข้อหนึ่ง “อะไรคือสิ่งที่ทำให้สิ่งของมีมูลค่า?” Peter Schiff ยืนหยัดในแนวคิดของ "Intrinsic Value" หรือมูลค่าที่แท้จริง เขาเชื่อมั่นว่าทองคำมีค่าเพราะมันมีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่พิเศษ ไม่เหมือนโลหะชนิดอื่น

“ทองคำไม่เน่าเปื่อย ไม่เกิดสนิม ไม่ผุกร่อน แม้ผ่านไปหลายพันปี มันเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ อวกาศ แม้แต่ในมือถือที่คุณถืออยู่ก็มีทองคำอยู่ข้างใน นี่คือ 'ประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง' ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือความหวัง”

เขาเปรียบเทียบต่อว่า “เมื่อคุณถือทองคำ คุณกำลังถือครอง 'ประโยชน์ใช้สอยที่ถูกเก็บสะสมไว้' (Stored Utility) ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคตอีกพันปีข้างหน้า มันเหมือนกับการเก็บพลังงานไว้ในรูปแบบทางกายภาพที่มั่นคง”

แถมยังได้โจมตี Bitcoin ว่า “ไม่มีอะไรหนุนหลัง” (Backed by nothing) โดยเขากล่าวว่า “Bitcoin เป็นเพียงตัวเลขในคอมพิวเตอร์ มันจับต้องไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ใช้สอยนอกเหนือจากการโอนไปมา และคนอาจโต้ว่า 'แต่มันโอนได้เร็ว ข้ามพรมแดนได้ง่าย' ใช่ มันทำได้ แต่นั่นไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริง นั่นเป็นเพียง 'ความสะดวก' (Convenience) เท่านั้น”

นอกจากนี้ Peter Schiff ยังได้เปรียบเทียบกับ Google หรือ Facebook โดยกล่าวว่า “แม้บริษัทเหล่านี้จะจับต้องไม่ได้ แต่พวกเขาให้บริการจริง มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคน มีรายได้จากโฆษณา มีโครงสร้างพื้นฐาน มีทีมงานที่สร้างมูลค่า แต่ Bitcoin? มันแค่ถูกส่งต่อไปมาระหว่างนักเก็งกำไร ไม่มีการสร้างรายได้ ไม่มีการผลิตสินค้าหรือบริการ มันเป็นเกมคนโง่กว่า (Greater Fool Theory) ล้วนๆ ที่คนซื้อในราคาสูงหวังว่าจะมีคนมารับซื้อต่อในราคาที่สูงกว่า”

ด้าน CZ โต้กลับด้วยมุมมองของโลกยุคใหม่ เขาปฏิเสธแนวคิดที่ว่ามูลค่าต้องมาจากสิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น

โดยเขากล่าวว่า “ในโลกปัจจุบัน มูลค่าไม่ได้ถูกกำหนดโดยความเป็นวัตถุอีกต่อไป ลองคิดดูสิครับ อินเทอร์เน็ตจับต้องไม่ได้ แต่มีมูลค่ามหาศาล ข้อมูล (Data) จับต้องไม่ได้ แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในศตวรรษที่ 21 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง X หรือ TikTok เป็นเพียงโค้ดและเครือข่าย แต่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ Bitcoin ก็เหมือนกัน “มันมีมูลค่าจากเครือข่ายและการใช้งาน (Network Effect & Utility) เมื่อมีคนใช้งาน Bitcoin มากขึ้น เครือข่ายก็แข็งแกร่งขึ้น มูลค่าก็เพิ่มขึ้นตาม นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่ว่างเปล่า แต่เป็นมูลค่าที่เกิดจากการใช้งานจริงของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก””

แต่ท้ายที่สุดแล้ว มูลค่าคือสิ่งที่ผู้คนเห็นพ้องกันว่ามีค่า ทองคำมีค่าเพราะมนุษยชาติตกลงกันมาหลายพันปี Bitcoin มีค่าเพราะผู้คนในยุคดิจิทัลเห็นว่ามันแก้ปัญหาที่ทองคำแก้ไม่ได้ การตัดสินว่าอันไหนดีกว่าขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อในโลกแบบไหน โลกที่มูลค่าต้องจับต้องได้ หรือโลกที่มูลค่าเกิดจากเครือข่ายและเทคโนโลยี

ยกที่ 3 ว่าด้วยเรื่อง ทองคำดิจิทัล (Tokenized Gold)

ต้องบอกว่าประเด็นที่ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งคือ ตลอดการดีเบตนั้น Peter Schiff ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี Blockchain เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็ถือเป็นหนึ่งใน Builder ที่กำลังพัฒนาโปรเจกต์ของตัวเองที่ชื่อว่า T-Gold หรือ Tokenized Gold

โดย Peter Schiff อธิบายว่า “แนวคิดคือเรานำทองคำแท่งจริง 99.99% ที่ผ่านการรับรองไปเก็บในห้องนิรภัยที่มีมาตรฐานสากล จากนั้นเราจะออกโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชนที่แทนค่าทองคำเหล่านั้น”

Schiff เปรียบเทียบโทเคนเหมือน “บัตรฝากเสื้อ” (Coat Check) ในงานเลี้ยง บัตรนั้นไม่ใช่เสื้อโค้ท แต่เป็นสิทธิ์ในการแลกเสื้อคืน เขาเชื่อว่าวิธีนี้ทำให้ทองคำดีกว่าเดิม เพราะ แบ่งหน่วยย่อยได้ (Divisibility) ความสะดวกในการขนย้าย (Transportability) สภาพคล่อง (Liquidity) ในประเด็นนี้เขาอธิบายว่า ทองคำแท่งต้องหาคนซื้อ ต้องต่อรอง ต้องตรวจสอบ แต่โทเคนทองคำสามารถเทรดได้ทันทีในตลาดดิจิทัล มีสภาพคล่องสูงกว่ามาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการที่สามารถเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนได้ (Medium of Exchange) “นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด ทองคำกายภาพไม่เหมาะสำหรับการซื้อขายในชีวิตประจำวัน แต่ทองคำดิจิทัลทำได้ คุณสามารถใช้จ่ายทองคำเหมือนใช้เงินดิจิทัล แต่คุณยังคงถือครองทองคำจริงอยู่”

ด้าน CZ เห็นด้วยแต่มีข้อกังวล โดยเขามองว่า โปรเจกต์นี้ยอดเยี่ยมมาก แต่ปัญหาคือ “ความเชื่อใจ” โดยข้อโต้แย้งของเขาคือ ผู้ถือโทเคนยังคงต้อง 'เชื่อใจ' 3 สิ่ง ได้แก่

  • หนึ่ง พวกเขาต้องเชื่อว่าทองคำมีอยู่จริงในห้องนิรภัย ไม่ถูกขโมยไป ไม่ถูกยืมไปใช้โดยไม่บอก แม้จะมีการตรวจสอบ (Audit) ก็ตาม แต่ Audit ทำปีละครั้งหรือสองครั้ง แต่การโจรกรรมหรือการทุจริตอาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที
  • สอง พวกเขาต้องเชื่อว่าบริษัทนั้น ๆ จะไม่ล้มละลาย ถ้าบริษัทล้ม ทองคำเหล่านั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินล้มละลาย และผู้ถือโทเคนอาจได้รับเงินคืนไม่เต็มมูลค่า หรือต้องรอหลายปีในศาล
  • สาม พวกเขาต้องเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ยึดทองคำหรือห้ามการแลกคืน เหมือนที่สหรัฐฯ เคยทำที่บังคับให้ประชาชนส่งทองคำคืนรัฐ

และ CZ เปรียบเทียบกับ Bitcoin ว่า เมื่อคุณถือ Bitcoin ในกระเป๋าของคุณเอง (Self-custody) คุณไม่ต้องเชื่อใจใคร ไม่มีบริษัทกลาง ไม่มีห้องนิรภัย ไม่มีผู้ดูแล Bitcoin นั้นเป็นของคุณโดยตรง ไม่มีใครยึดได้ ไม่มีใครห้ามได้ ไม่มีใครปลอมแปลงได้ นี่คือความหมายที่แท้จริงของ 'Trustless' หรือระบบที่ไม่ต้องพึ่งความเชื่อใจ

แต่อย่างไรก็ตาม บทสรุปของประเด็นนี้คือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถทำให้ทองคำใช้งานได้สะดวกขึ้น แต่ยังคงมีความแตกต่างพื้นฐานในเรื่องปรัชญาการเงิน Schiff เชื่อว่าความเชื่อใจในสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่จำเป็นและยอมรับได้ ในขณะที่ CZ เชื่อว่าการกำจัดความจำเป็นในการเชื่อใจคือนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดของ Bitcoin

ยกที่ 4 การใช้จ่ายด้วย Bitcoin

หนึ่งในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอย่างดุเดือดที่สุดคือคำถามว่า “Bitcoin สามารถใช้เป็นเงินได้จริงหรือไม่?” ซึ่งหัวใจของคำถามนี้อยู่ที่การทำงานของบัตรคริปโตอย่าง Binance Card

โดย Peter Schiff โจมตีว่าการใช้บัตร Binance Card จ่ายเงิน แท้จริงแล้วไม่ใช่การ “จ่ายด้วย Bitcoin” แต่เป็นการ “ขาย Bitcoin ทิ้งเพื่อแลกเป็นเงิน Fiat ไปจ่ายร้านค้า” เพราะผู้รับปลายทางได้รับดอลลาร์ ไม่ใช่ Bitcoin เขามองว่านี่คือหลักฐานว่า Bitcoin ล้มเหลวในฐานะเงิน

พร้อมกันนี้ได้ยกหลักเกณฑ์ของ “เงินตัวจริง” ว่า ถ้า Bitcoin เป็นเงินจริง มันต้องทำหน้าที่สามอย่างตามหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน

  • หนึ่ง Store of Value (การเก็บรักษามูลค่า) ซึ่ง Bitcoin อาจทำได้ในระดับหนึ่ง แม้จะผันผวนมาก
  • สอง Medium of Exchange (สื่อกลางแลกเปลี่ยน) ไม่มีใครจ่าย Bitcoin โดยตรง ทุกอย่างต้องผ่านการแปลงเป็น Fiat ก่อน
  • สาม Unit of Account (หน่วยวัดมูลค่า) Schiff ชี้ให้เห็นว่าไม่มีร้านค้าใดในโลกนี้ที่ติดป้ายราคา 'แก้วกาแฟนี้ราคา 0.00015 BTC' และราคาคงที่ตลอด ร้านค้าทุกร้านยังคงคิดราคาเป็นดอลลาร์ เป็นยูโร เป็นบาท แล้วค่อยแปลงเป็น Bitcoin ตามอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น ทั้งหมดนี้หมายความว่า Bitcoin ยังคงเป็นเพียง 'สินทรัพย์' (Asset) ที่ต้องแปลงค่าเป็นเงินจริงก่อนใช้ มันไม่ใช่เงินในตัวของมันเอง

ขณะที่ CZ มองในมุม “ประสบการณ์ผู้ใช้” (UX) เขาแย้งว่าผู้ใช้แค่รูดบัตรแล้วยอดคริปโตในบัญชีลดลง ได้สินค้ามา ถือว่าจบกระบวนการ โดยเปรียบเทียบกับระบบปัจจุบัน อย่างการรูดบัตรเครดิต Visa คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังบ้าน? มีการแปลงสกุลเงิน มีการส่งต่อข้อมูลผ่าน Payment Gateway หลายชั้น มี Settlement ที่ต้องรอ 1-3 วันทำการ มี Fee ที่ร้านค้าต้องจ่าย 2-3% แต่ผู้ใช้ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใช้แค่รูดบัตรแล้วชำระเงินเสร็จ Bitcoin ก็เหมือนกัน

เขาชี้ว่า “การที่มีกระบวนการแปลงค่าหลังบ้านไม่ได้ทำให้มันไม่ใช่การชำระเงิน มันเป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาไก่กับไข่ ร้านค้ายังไม่รับ Bitcoin โดยตรงเพราะยังไม่มีคนใช้มากพอ และคนยังไม่ใช้เพราะร้านค้ายังไม่รับ ดังนั้นเราจึงสร้าง Bridge นี้ขึ้นมาเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์”

พร้อมกันนี้เขาได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากแอฟริกา โดยเล่าว่า “ผมเคยพบผู้ใช้คนหนึ่งในไนจีเรีย เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาต้องการส่งเงินกลับบ้านให้แม่ที่อยู่ชนบท ถ้าเขาใช้ธนาคารหรือ Western Union ต้องจ่าย Fee สูงมาก บางทีถึง 10-15% ของยอดที่ส่ง และแม่ของเขาต้องเดินทางไปเมืองใกล้ที่สุดที่มี Branch เพื่อรับเงิน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเดินทาง 2-3 วัน เพราะการคมนาคมในพื้นที่ห่างไกลไม่สะดวก แต่เมื่อเขาใช้คริปโต ส่งได้ทันที Fee แค่ไม่กี่บาท และแม่ของเขาสามารถแปลงเป็นเงินท้องถิ่นได้ทันทีผ่านตัวแทนในหมู่บ้าน หรือใช้จ่ายโดยตรงผ่านมือถือ นี่คือ Utility ที่จับต้องได้จริงๆ และนี่ไม่ใช่เรื่องเดียว ในเวเนซุเอลา ที่เงินโบลิวาร์เสื่อมค่าหลายพันเปอร์เซ็นต์ต่อปี ผู้คนใช้ Bitcoin และ Stablecoin เพื่อปกป้องความมั่งคั่งของพวกเขา พวกเขาได้รับเงินเดือนเป็น Bitcoin แล้วใช้จ่ายเป็น Bitcoin นี่คือการใช้เงินจริงๆ ในชีวิตประจำวัน”

ยกที่ 5 สงครามข้อมูล ที่เลือกมองกันคนละ TimeFrame

ในส่วนนี้ ทั้งสองฝ่ายนำข้อมูลราคามาใช้โจมตีกันอย่างดุเดือด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งคู่เลือกใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดย Peter Schiff: มองย้อนหลัง 4 ปี เขาย้ำว่า “ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา Bitcoin ราคาลดลง 40% เมื่อเทียบกับทองคำ” แม้จะมีทั้ง Bitcoin ETF, โฆษณา Super Bowl และการซื้อของบริษัท MicroStrategy แต่ราคากลับไม่ทำจุดสูงสุดใหม่

ด้าน CZ โต้กลับด้วยภาพ 15 ปี เขาชี้ว่า Schiff เลือกมองแค่ช่วงสั้น ๆ (Cherry-picking) หากมองตั้งแต่ต้น Bitcoin เติบโตจากศูนย์มาถึงจุดนี้ ซึ่งชนะสินทรัพย์เกือบทุกอย่างในโลก และชี้ว่าทองคำเองก็เคลื่อนไหวน้อยมาเป็นสิบปี ก่อนจะเพิ่งขยับขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ทั้งนี้ Schiff เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ที่ขาดทุนจาก Bitcoin จะได้รับ “บทเรียนราคาแพง” และหันกลับมาหาสินทรัพย์ที่มั่นคงอย่างทองคำเมื่อโตขึ้น เขามอง Bitcoin เป็นการถ่ายโอนความมั่งคั่งจากคนมาทีหลังไปสู่คนมาก่อน ตามทฤษฎี Greater Fool

CZ ยอมรับว่ามีนักเก็งกำไรในตลาดคริปโต แต่ชี้ว่าตลาดหุ้นหรือตลาดทองคำก็มีนักเก็งกำไรเช่นกัน การมีนักเก็งกำไรไม่ได้ทำให้สินทรัพย์นั้นไร้ค่า เพราะเบื้องหลังยังมีนักพัฒนา (Builders) ที่สร้างระบบนิเวศและนวัตกรรมอยู่จริง

อย่างไรก็ตาม การดีเบตดำเนินมาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม แม้ว่าระหว่างทางจะมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่ทั้งหมดจบลงด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร และสะท้อนให้เห็นว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกล (Bitcoin) แต่รากฐานความเชื่อเรื่องมูลค่าแบบดั้งเดิม (Gold) ก็ยังคงมีน้ำหนักและเหตุผลในตัวของมันเอง

CZ ชนะในเรื่องความทันสมัยและการตรวจสอบได้ (Verifiability) ส่วน Schiff ยืนกรานหนักแน่นในเรื่องประวัติศาสตร์และความเสี่ยงต่ำ (Stability)

สุดท้ายแล้ว คำตอบว่าฝ่ายไหนถูก อาจขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่จะเชื่อใจในอะไรมากกว่ากันระหว่าง ตัวกลาง กับ โค้ด


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ