
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Whale Hunting ของ Tom Wright ผู้สื่อข่าวจาก Project Brazen ได้เผยแพร่เอกสารที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับ “กนกพร สีตะวรารัตน์” ภรรยาของอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “วรภัค ธันยาวงษ์”
ในเอกสารดังกล่าว ระบุถึงการขายหุ้นในกองทุน Capital Asia Investments (CAI) มูลค่า 2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีการชำระด้วยเหรียญคริปโตฯ Tether (USDT) ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet Address) หมายเลข THgk3XFgkEbcfDFsijrqNy9FoG7Mite6NG ซึ่งทำงานอยู่บนเครือข่าย Tron Blockchain โดยในเอกสารดังกล่าวได้ระบุว่าผู้รับเงินคือบริษัท Beteverse Limited ซึ่งจดทะเบียนในประเทศเซเชลส์
ผู้สื่อข่าว Thairath Money ได้ตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวผ่าน tronscan.org พบว่า มีกระเป๋าคริปโตฯดังกล่าว และมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นจริง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยลงทุนคริปโตเคอเรนซี หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ อาจมีความสงสัยใคร่รู้ว่า ธุรกรรมที่ว่านี้ เขาทำยังไง ซื้อขาย แลกเปลี่ยน โอนย้ายกันแบบไหน Thairath Money จะอธิบายกลไกโดยทั่วไปให้ทราบดังนี้
จากสิ่งที่เราเห็นทั้งหมดประกอบไปด้วย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกธุรกรรมคริปโตเริ่มจากการส่งเงินจาก “กระเป๋า” หนึ่งไปอีก “กระเป๋า” หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นรหัสยาว โดยตามข้อมูลที่ระบุในเอกสาร คือ THgk3XFgkEbcfDFsijrqNy9FoG7Mite6NG (เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย ในเนื้อข่าวนี้จะใช้คำว่า “Address ที่เป็นข่าว” )
รหัสเหล่านี้เทียบได้กับ “เลขบัญชีธนาคาร” แต่ไม่ระบุชื่อเจ้าของโดยตรง ซึ่งข้อมูลที่เราเห็นจะมี
จากกระเป๋าไหนไปกระเป๋าไหน (Address >Address)
ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อไร
จำนวนกี่เหรียญ
ประเภทของเหรียญ (เช่น USDT, ETH ฯลฯ)
ดังนั้นการโอนด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล จึงเป็นกระบวนการในการส่งสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น Bitcoin, Ethereum, USDT) จากที่อยู่กระเป๋าหนึ่ง (Wallet Address) ไปยังอีกที่อยู่หนึ่ง ผ่านเครือข่ายที่เรียกว่า Blockchain
กระเป๋าคริปโตฯ ที่ปรากฎจะแตกต่างจากกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ e-wallet ทั่วไป โดยไม่ได้ทำหน้าที่เก็บเหรียญคริปโตฯ ไว้โดยตรง แต่เหรียญจะถูกเก็บไว้บน Blockchain และจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Private Key” เท่านั้น ซึ่งกุญแจเหล่านี้ทำหน้าที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดิจิทัลของเจ้าของ และใช้ในการอนุมัติการทำธุรกรรมต่าง ๆ และหากทำ Private Key หาย นั่นหมายความว่า เราจะสูญเสียการเข้าถึงสินทรัพย์ทั้งหมด
ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกในเครือข่ายสาธารณะอย่างถาวรและไม่สามารถลบได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ผ่านเครื่องมืออย่าง Etherscan (สำหรับ Ethereum) หรือ Tronscan (สำหรับ Tron Network) ซึ่งในกรณีนี้ กระเป๋าเงินดิจิทัลดังกล่าวเป็น Tron Network เนื่องจากขึ้นต้นด้วย TH แต่ถ้าหากเป็น Ethereum จะขึ้นต้นด้วย 0x
USDT คือ เหรียญดิจิทัลประเภท Stablecoin สร้างขึ้นโดย Tether Limited และจะผูกมูลค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 1:1 กล่าวคือ เหรียญนี้จะมีมูลค่าคงที่เทียบเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดย 1 USDT จะมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
จุดเด่นนี้ของ Stablecoin ทำให้มูลค่ามีเสถียรภาพและมีความผันผวนต่ำแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่นที่มีราคาขึ้นลง ทำให้เหรียญอย่าง USDT ถูกนำไปใช้ในรูปแบบที่หลากหลายกว่าแค่เก็บไว้ทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นเก็บไว้เพื่อรักษามูลค่า ใช้แลกเปลี่ยน รวมไปถึงใช้โอนเงินข้ามประเทศ โดยผู้ทำธุรกรรมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า เนื่องจากผูกมูลค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบัน USDT ยังคงเป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีปริมาณการซื้อขายสูง มี Market Cap อยู่ที่กว่า 182,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเนื่องจากมีสภาพคล่องที่ดี ทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุน
ทั้งนี้ USDT ยังมีความท้าทายในเรื่องของความปลอดภัย เนื่องจากยังต้องเผชิญกับข้อกฎหมายและการกำกับดูแลที่เข้มงวดในหลายประเทศ
ตามข้อมูลของ McKinsey ระบุว่า เหตุผลหลักที่คนหันมาใช้ Stablecoin แทนการโอนเงินผ่านธนาคาร คือ ความเร็ว ค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และการเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ
เนื่องจากหากใช้บริการระบบธนาคารแบบดั้งเดิม เช่น SWIFT สิ่งที่ผู้ใช้บริการมักบ่นคือ จะทำงานช้า (อาจะใช้เวลามากถึง 1-5 วันทำการ) มีค่าธรรมเนียมสูงเพราะต้องผ่านตัวกลางหลายทอด และมีเวลาทำการที่จำกัด (ปิดวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุด)
ด้วยเหตุนี้ Stablecoin จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงคจสำหรับการโอนเงินข้ามพรมแดน การชำระเงินทางธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว และเป็นเครื่องมือในการเก็บรักษามูลค่าสำหรับผู้คนทั่วโลกที่ระบบธนาคารแบบเดิมเข้าไม่ถึง
แม้บล็อกเชนจะโปร่งใส แต่สิ่งที่ได้มีการเปิดเผยนั้น คือ “ข้อมูลเชิงเทคนิค” ไม่ใช่ “ตัวบุคคล” ดังนั้นสิ่งที่นักวิเคราะห์ประเมินได้คือ “พฤติกรรมของธุรกรรม” ซึ่งจะใช้ข้อมูลเชิงรูปแบบ เช่น
เวลาในการโอน ปริมาณเงิน ความถี่ จุดหมายปลายทางของเหรียญ (Exchange หรือ Wallet ส่วนตัว) เพื่อประเมินความเชื่อมโยงของ address เหล่านั้น รวมถึงสันนิษฐานว่าใครเป็นเจ้าของหรือมีความเกี่ยวข้องกับกระเป๋านั้นๆ
ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ กรรมการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัล และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย บิทแคสต์ จำกัด หรือ Bitcast ผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน อธิบายเกี่ยวกับธุรกรรมในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปรากฎกับทีมข่าว Thairath Money ว่า
รูปแบบธุรกรรมที่พบจะเห็นได้ว่ามีการโอนเพื่อทดสอบ (Test Transaction) ก่อนการโอนล็อตใหญ่ ธุรกรรมแรกสุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 290 วันที่แล้ว (นับจาก 24 ตุลาคม 2568) คือการโอนเพียง 5 USDT จากกระเป๋าอื่น มายัง “Address ที่เป็นข่าว” ซึ่งถือเป็น "Test Transaction" ตามปกติที่ใช้เพื่อทดสอบว่าเหรียญถึงจริง
เป็นการถางทางก่อนโอนล็อตใหญ่ โดยทุกครั้งที่มีการโอนล็อตใหญ่เกิดขึ้น จะมีการโอนเงินจำนวน 100 USDT เข้ามาก่อนเสมอ ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 3 ครั้ง ในช่วงที่จะมีการโอนเงินล็อตสำคัญ
จากแผนภาพจะเห็นได้ว่า การโอน 100 USDT เมื่อ 288 วันที่แล้ว เกิดขึ้นก่อนการโอนล็อตใหญ่จำนวน 2,499,900 USDT ก่อนโอนยอด 9,540,880.25 USDT ก็มีการส่งเทสต์ 100 USDT มาก่อน
หรือแม้แต่กระเป๋าที่มีการระบุชื่อว่า KuCoin 4 จะโอนยอด 42,300 USDT และยอดกว่า 6,020,390.13 USDT ก็มีการส่งเทสต์ 100 USDT มาก่อนเช่นกัน
สำหรับเส้นทางการเคลื่อนไหวของเหรียญ คือ ทุกครั้งที่มีการโอนมาจากกระเป๋าอื่น มาถึง “Address ที่เป็นข่าว” จะมีการโอนออกทันที (Cash Out) จาก Address ที่เป็นข่าว ไปยัง Exchange ตามข้อมูลที่ปรากฎคือ Binance - Hot 7
โดยสรุปแหล่งที่มาหลักของ USDT ธุรกรรมจำนวนมากถูกส่งออกมาจากกระเป๋าอื่น จำนวน 2 กระเป๋า ได้แก่ TTY95dnTF4VgATNGyKECR39DvfXrSuFx5D ("Address A") และ TFBzttquQCko6y5Lhf2FdG1YKZkjHp1EJt ("Address B") (ซึ่งระบุไม่ได้ว่าของใคร) และจากกระเป๋าของ Kucoin
ส่วนพฤติกรรมการโอน เมื่อเหรียญโอนเข้ามาในกระเป๋าเป้าหมายแล้ว จะถูกโอนออกไปทันที ธุรกรรมที่เห็นจึงสะท้อนพฤติกรรมการ "Cash Out" โดยปลายทางของการโอนออกทั้งหมดคือ Binance - Hot 7 ซึ่งเป็นกระเป๋าเดียวกันในทุกธุรกรรมที่สังเกตได้
ทั้งนี้ ศุภกฤษฎ์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของกระเป๋านี้ในหลายกรณีด้วยได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งหมด อาทิ
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นกระเป๋าส่วนตัวหรือกระเป๋าม้า
ศุภกฤษฎ์ ระบุด้วยว่า จากธุรกรรมนี้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามไปยัง Binance ในฐานะตัวกลางซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เนื่องจากปลายทางสุดท้ายคือ Hot Wallet 7 หากต้องการทราบตัวตนเจ้าของบัญชี (KYC) จะต้องมีการขอหมายศาล หรือให้ตำรวจส่งใบขออย่างเป็นทางการไปยัง Binance เพื่อให้เปิดเผยว่ากระเป๋าดังกล่าวถูกลงทะเบียนในนามของใคร และดำเนินการตามกระบวนการเพื่อดูว่าเงินที่โอนไปถึงปลายทางถูกนำไปทำอะไรต่อ
ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผู้สื่อข่าวได้มีการจำลองภาพเพื่อแสดงให้เห็นถึงลำดับการเคลื่อนที่ของเงินดังนี้
จะเห็นได้ว่ามีการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันช่วงมกราคม 2568 และครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยยอดเงินที่มีการโอนทั้งหมดรวมกันกว่า 18.1 ล้าน USDT หรือคิดเป็นเงินไทยราว 600 ล้านบาท มีที่มาของเงินจาก 3 แหล่ง และโอนเข้า “Address ที่เป็นข่าว” ปลายทางคือ Binance Hot-7
ทั้งนี้ ธุรกรรมบนบล็อกเชนคือหลักฐานดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบได้ แต่การมีชื่อบุคคลในเอกสาร ไม่ได้แปลว่าเป็น “เจ้าของ address นั้น” โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมตามที่มีการติดตามกันนี้ มีสิ่งที่พอจะยืนยันได้คือ การรู้ “รหัสกระเป๋าเงินดิจิทัล” บ่งชี้ว่ามีธุรกรรมการโอน USDT มูลค่าหลายล้านดอลลาร์เกิดขึ้นจริงในเครือข่าย แต่สิ่งที่ยังต้องรอการพิสูจน์/เสาะหา คือ ผู้ถือครอง address เหล่านี้คือใคร ดีลนั้นเกิดขึ้นจริงตามข้อตกลงหรือไม่
แต่ ...จากรหัสกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปรากฎตามหน้าสื่อ เป็นธุรกรรมที่เป็นเบาะแสที่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบย้อนหลังได้ เนื่องจากปลายทางของธุรกรรมนี้ คือ แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ไม่ได้เป็นการนำเข้าสู่บริการ Mixer หรือ DeFi Protocol ที่ไม่เปิดเผยตัวตน เช่น Tornado Cash ซึ่งจะรวมเหรียญของผู้ใช้หลายรายแล้วสุ่มโอนกลับ ที่ทำให้ยากต่อการตามรอย
อย่างไรก็ดี วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีการชี้แจงต่อกรณีที่มีเอกสารดังกล่าวหลุดออกมา ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Vorapak Tanyawong ระบุว่า เนื่องจากมีผู้แชร์เอกสาร กล่าวหาว่าภรรยาผมรับสินบนในหลายช่องทาง ผมขออนุญาตชี้แจงสั้นๆ ตามข้อมูลที่มีปัจจุบัน
อย่างที่ผมแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ (22 ต.ค.) ผมได้เข้ามาซื้อหุ้นของ บล. ฟินันเซีย ในปี 2564 โดยส่วนของผมมีมูลค่าประมาณ 420 ล้านบาท ที่ชำระโดยเงินกู้จากกองทุน CAI 320 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาทเป็นเงินลงทุนส่วนตัว มีหลักฐานชัดเจนตอนควักเงินส่วนตัวไปลงทุน 
เอกสารที่ถูกแชร์มานี้จริงๆ เป็นเอกสารชั้นความลับของกองทุนที่ห้ามถูกเปิดเผยกับภายนอก เพราะฉะนั้นคนที่เอาเอกสารนี้มาแชร์สามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้
อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผมตัดสินใจขายหุ้นฟินันเซียออกไป ก็จะมีส่วนเงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทที่จะได้คืนมา ซึ่งถ้าดูในเอกสารที่แชร์กันว่อนในวันนี้จำนวนตัวเงินค่อนข้างตรงกันคือประมาณเกือบ 3,000,000 เหรียญสหรัฐ
ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่านี่ “ไม่ใช่การจ่ายเงินสินบน” ใดใดทั้งสิ้นจะเป็นการชำระคืนเงินลงทุนเดิมของผม ส่วนการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินเป็นเงินคริปโตนั้น ทางกองทุนที่สิงคโปร์กำลังเช็คข้อเท็จจริงอยู่ว่าเป็นบัญชีคริปโตของกองทุนหรือไม่ หรือเอกสารที่เห็นอยู่นี้ ถูกยกเลิกไปโดยสัญญาอื่นแทน เพราะข้อเท็จจริงที่แน่แน่ คือผมได้รับเงินลงทุนคืนเป็นเงินบาทโอนเข้ามาในบัญชีเงินบาทจำนวน 100 ล้านบาทเศษ ไม่เคยได้รับเป็นเงินคริปโตใดใดทั้งสิ้น
มีหลักฐานยืนยันชัดเจนทั้งวันที่จ่ายเงินลงทุน 100 ล้านบาทออกไปจากบัญชีในปี 2564 และได้เงินลงทุนคืนกลับมาในต้นปี 2567
ขออนุญาตอธิบายสั้นสั้นเพียงแค่นี้ก่อนนะครับ
เพราะฉะนั้นคนที่กล่าวหาว่านี่เป็นเงินสินบนโดนฟ้องแน่นอนครับ เพราะมันเป็นเงินจากการขายหน่วยลงทุน ซึ่งในเอกสารที่แชร์กันว่อนวันนี้มีระบุชัดเจนว่าเป็นเงินชำระหน่วยลงทุน
ผมยังยืนยันว่าผมไม่มีอะไรต้องปิดบังครับ ไม่เคยทำไรเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย 
ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีและนวัตกรรม ข่าวสารสตาร์ทอัพ บริษัท Tech Company รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล คริปโต BTC ราคาบิทคอยน์ กระแสเหรียญคริปโต ธุรกิจและตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ข่าวสารการเงินการลงทุนคริปโตล่าสุด ได้ที่นี่
เทคโนโลยีและนวัตกรรม : https://www.thairath.co.th/money/tech_innovation
สินทรัพย์ดิจิทัล คริปโต ข่าวคริปโต : https://www.thairath.co.th/money/tech_innovation/digital_assets