
จากเหตุอุกอาจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่มีกลุ่มคนร้ายบุกปล้นเงินสดกว่า 3.4 ล้านบาท ณ ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านลาดพร้าว โดยพบว่าทางผู้เสียหายได้มีการนัดหมายกับกลุ่มคนร้ายผ่าน Agent เพื่อที่จะทำการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี สกุล USDT ก่อนที่คนร้ายลงมือจี้ปล้นเอาเงินสดไปและหลบหนีไป
โดยเงินสดจำนวนดังกล่าว ทางผู้เสียหายเล่าว่ามีการนัดแนะเพื่อที่จะเอามาซื้อขาย USDT จำนวน 100,000 เหรียญ จึงได้ทำข้อตกลงผ่าน Agent ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้นัดมาเพื่อซื้อขายในลักษณะนี้ ทางตำรวจคาดว่าในครั้งแรก ๆ คือการหลอกให้เหยื่อตายใจ โดยจำนวนเงินที่แลกเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้เป็นหลักแสน ก่อนที่จะทำการโจรกรรมเงินหลักล้านในครั้งนี้
สำหรับการซื้อขายที่เกิดขึ้นนี้ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบ “OTC” หรือ “Over-the-Counter Trading” หรือ “การซื้อขายนอกกระดาน” คือมีการตกลงกันเองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เทรดได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังทำได้แบบลับ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็น Exchange ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ ธุรกิจ หรือแม้แต่นักเทรดทั่วไปที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นก็มักจะใช้เครื่องมือชนิดนี้
การเทรดคริปโตฯ แบบ OTC หรือ Over-the-Counter คือการซื้อขายเหรียญโดยตรงระหว่างสองฝ่าย โดยไม่ผ่านกระดานสาธารณะของ Exchange แบบเดิม ธุรกรรมเหล่านี้มักเกิดขึ้นผ่านตัวกลางที่เรียกว่า OTC Desk หรือโบรกเกอร์ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มแบบ P2P ที่มีความน่าเชื่อถือ
แล้วทำไมต้องเทรดแบบ OTC?
เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความผันผวนของราคา โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องซื้อขายเหรียญในปริมาณมาก การตกลงราคากันแบบตัวต่อตัวทำให้สามารถคุมราคาที่ต้องการได้ดีกว่า ลดโอกาส Slippage และไม่ทำให้ตลาดสวิงเหมือนการเทรดผ่าน CEX (Centralized Exchange)
นอกจากนี้ OTC ยังมอบความยืดหยุ่นในการชำระเงิน ไม่ว่าจะโอนผ่านธนาคาร ใช้ Stablecoin หรือ Swap Token ตรงก็สามารถทำได้ตามที่ตกลงกันไว้
การเทรด OTC แตกต่างจากการซื้อขายในตลาดทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด โดยมีขั้นตอนที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ดังนี้
ทั้งนี้ หลังการเทรดบาง OTC Desk จะให้บริการรายงานธุรกรรมเพื่อบันทึกหรือใช้อ้างอิง หรือมีการใช้ระบบ Escrow (ระบบถือครองสินทรัพย์ชั่วคราว) เพื่อความปลอดภัย โดยจะปล่อยเหรียญออกก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน
OTC Trading ไม่ได้มีรูปแบบเดียว โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นคนกลาง ช่วยจับคู่ผู้ซื้อกับผู้ขาย พร้อมเจรจาราคา จัดการเอกสาร และเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด โดยมีตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ให้บริการนี้ อย่างเช่น Coinbase Prime, Kraken OTC, Binance OTC, Bitstamp เป็นต้น
ผู้ซื้อและผู้ขายเจรจาโดยตรง ไม่มีคนกลาง มักใช้งานร่วมกับระบบ Escrow เพื่อความปลอดภัย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและยืดหยุ่นด้านการชำระเงิน ตัวอย่างแพลตฟอร์ม เช่น OKX, Paxful, Binance P2P, KuCoin เป็นต้น
สำหรับการเทรดด้วยวิธี OTC Trading ที่มีทั้งข้อดีและความเสี่ยงที่ทางผู้เทรดจะต้องศึกษาให้แน่ชัด โดยข้อดีมีดังนี้
ในขณะเดียวกัน ก็มีความเสี่ยงหลายประการ ได้แก่
ที่มา: CoinTelegraph, Crypto.com, MoonPay, Merkle
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney