
บิตคอยน์ทะยานกลับขึ้นมาเหนือระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง หลังตลาดสกุลเงินดิจิทัลต้องเผชิญแรงกดดันหนักใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อราคาบิตคอยน์ดิ่งลงกว่า 4% หลุดระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ เนื่องจากความกังวลต่อการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และอิสราเอลที่มีเป้าหมายโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
หลังจากการประกาศยืนยันปฏิบัติการของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อร่วมมือกับอิสราเอล มุ่งเป้าโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในเมืองฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน อย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน ราคาน้ำมันและทองคำปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในวันเดียว
ด้านตลาดคริปโตฯ นักลงทุนบางส่วนเทขายจากการประเมินความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยราคาบิตคอยน์ร่วงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยร่วงหลุดระดับ 99,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน ขณะที่การไหลเข้าของเงินลงทุนในกองทุน Spot Bitcoin ETF หยุดชะงักในช่วงปลายสัปดาห์หลังมีเงินไหลเข้าสู่ Spot Bitcoin ETF มากกว่า 1.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงก่อนหน้า สะท้อนท่าทีนักลงทุนสถาบันที่ระมัดระวังต่อท่าทีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่ออิหร่าน
ขณะที่เหรียญ ETH ร่วงลงกว่า 10% ในช่วงหนึ่งของวัน นอกจากนี้เหรียญอื่น ๆ อย่างโซลานา (Solana), XRP และ Dogecoin ต่างก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรงเช่นกัน ฉุดให้ภาพรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามตลาดเริ่มฟื้นตัว โดยบิตคอยน์กลับมาอยู่ที่ระดับ 101,000 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเพียง 1% ในช่วง 24 ชั่วโมง
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า แม้สถานการณ์จะดูตึงเครียด แต่ตลาดก็กลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอย่างรวดเร็ว โดยราคาทองคำที่พุ่งขึ้นแตะ 3,398 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวันและย่อตัวลงมาที่ 3,374 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% หลังปรับตัวขึ้นแรงในช่วงแรก ซึ่งในด้านของตลาดคริปโตฯ แสดงท่าทีในทิศทางเดียวกัน โดยบิตคอยน์แม้จะถูกเทขายทันทีหลังข่าวโจมตีช่วงสุดสัปดาห์ แต่ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาเมื่อความเสี่ยงเริ่มคลี่คลาย
การฟื้นตัวของบิตคอยน์เกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของราคาทองคำและการตอบสนองอย่างจำกัดในตลาดน้ำมันและตลาดหุ้นล่วงหน้า สะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่เชื่อว่าความขัดแย้งจะไม่ยืดเยื้อหรือกลายเป็นวิกฤตรุนแรงในระยะยาว
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าอิหร่านได้ขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่สำคัญซึ่งมีสัดส่วนกว่า 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก ทำให้มีการคาดการณ์ว่าหากเกิดการปิดช่องแคบอย่างเต็มรูปแบบ ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะ 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โดยหากราคาน้ำมันพุ่งสูงดังกล่าว อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ กลับมาพุ่งกลับขึ้นไปแตะระดับ 5% ซึ่งไม่เคยเห็นมาตั้งแต่มีนาคม 2023 แนวโน้มนี้ทำให้นักลงทุนต้องทบทวนมุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งและเริ่มหมุนเงินออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างคริปโต ทั้งนี้แม้ราคาบิตคอยน์จะฟื้นตัวบางส่วน แต่สถานการณ์ยังต้องตาดูอย่างใกล้ชิด นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ ควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากความผันผวนที่ยังคงสูงต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์
อ้างอิงข้อมูลจาก CNBC , Trading View
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -