ทำไมบิตคอยน์ถึงโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับต้นของโลก? Asset ที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ก่อนนักลงทุนสถาบัน

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทำไมบิตคอยน์ถึงโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับต้นของโลก? Asset ที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ก่อนนักลงทุนสถาบัน

Date Time: 14 มิ.ย. 2568 14:15 น.

Video

ทำไมกองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้มละลาย ? | Thairath Money Night Stand EP.8

Summary

เพราะอะไร? ทำไม “บิตคอยน์” ถึงก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างน่าสนใจ? จนเป็นสินทรัพย์อันดับที่ 7 ของโลกในแง่ของมูลค่าตามตลาด อีกทั้งยังเคยขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 เสียด้วยซ้ำ ฟังคำตอบจากงาน Thairath Money Roadshow 2025 ที่ครั้งนี้บุกเชียงใหม่ ให้ความรู้เรื่องการเงิน และบนเวที กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Labs ขึ้นบรรยายในประเด็น “ทำไมบิตคอยน์จึงเติบโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับ 5 ของโลก”

Latest


แม้จะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 โดย Satoshi Nakamoto จนตอนนี้ผ่านมากว่า 15 ปี “บิตคอยน์” ยังเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ใหม่ในตลาด เพราะหากเรามองย้อนไป บิตคอยน์ก้าวขึ้นมาและได้รับความนิยมอย่างมากก็เมื่อปี 2020 หรือ 5 ปีที่แล้ว และในระยะเวลาแค่นี้บิตคอยน์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์อันดับที่ 7 ของโลกในแง่ของมูลค่าตามตลาด อีกทั้งยังเคยขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 เสียด้วยซ้ำ

เพราะอะไร? ทำไม “บิตคอยน์” ถึงก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างน่าสนใจ? หาคำตอบไปพร้อมกัน สรุปจากงาน Thairath Money Roadshow 2025 ที่ครั้งนี้บุกเชียงใหม่ ให้ความรู้เรื่องการเงิน และบนเวที กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Labs ขึ้นบรรยายในประเด็น “ทำไมบิตคอยน์จึงเติบโตจาก 0 สู่สินทรัพย์อันดับ 5 ของโลก” พร้อมอธิบายเพิ่มความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล เทรนด์ของโลกลงทุนในปัจจุบัน

บิตคอยน์ ใหญ่ขนาดไหน?

หลายคนอาจยังไม่เคยตระหนักว่า “บิตคอยน์วันนี้ใหญ่ขนาดไหน?” และถ้าหากลองเทียบกับตลาดหุ้นไทยทั้งหมด มูลค่ารวมของบริษัทใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรกในประเทศไทย (SET50) อย่างเช่น ปตท., DELTA, ADVANC, AOT, GULF และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ถ้าเอามารวมกันจะมีมูลค่าประมาณ 322,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท

ในขณะที่บิตคอยน์เพียงตัวเดียว ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่ามูลค่าของ SET50 รวมกันประมาณ 6-7 เท่าตัว และถ้านับรวมทั้งตลาดหุ้นไทยทั้งหมดทั้งประเทศ บิตคอยน์ก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าเกือบ 20 เท่าด้วยซ้ำ

ในมุมของนักลงทุนไทย จำนวนบัญชีหุ้นในประเทศไทยเปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว โดยมีบัญชีอยู่ประมาณ 6 ล้านบัญชี แต่ถ้าหักบัญชีซ้ำจะมีนักลงทุนหุ้นประมาณ 3 ล้านคน ขณะที่บัญชีคริปโตไทยเพิ่งเริ่มต้นมาไม่ถึง 10 ปี กลับมีจำนวนบัญชีสะสมแล้วกว่า 2.5 ล้านบัญชี ซึ่งเทียบได้ว่า อัตราการ Adoption ของคนไทยต่อสินทรัพย์ใหม่อย่างบิตคอยน์เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น

และไม่เพียงแค่ในมุมของประเทศไทยเท่านั้น หากขยายไปดูในเวทีโลก บิตคอยน์ตอนนี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 7 ของโลก (ข้อมูลล่าสุดจากงานในวันที่ 14 มิถุนายน 2025 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่อันดับที่ 5) ซึ่งแซงหน้าแร่เงิน และยักษ์ใหญ่ในตลาดทุนหลายราย จนเรียกได้ว่าเป็นสัญญาณชัดว่าคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นของนักลงทุนรายย่อยอีกต่อไป แต่กำลังขยับเข้าไปอยู่ในวงโคจรเดียวกับสินทรัพย์หลักของระบบเศรษฐกิจโลกด้วย

ราคาบิตคอยน์ ขึ้นอยู่กับอะไร?

ทั้งนี้ ราคาของบิตคอยน์ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยแบบเดียวกับสินทรัพย์การเงินดั้งเดิม เช่น เศรษฐกิจประเทศ ดอกเบี้ยนโยบาย หรือผลประกอบการบริษัท เพราะบิตคอยน์ไม่มีผู้ออก ไม่มีบริษัท ไม่มีรัฐบาล ไม่มีงบดุลให้วิเคราะห์ มูลค่าของมันเกิดขึ้นจากเพียงแค่สองสิ่งง่าย ๆ นั่นคือ ความต้องการซื้อ (Demand) และ ความต้องการขาย (Supply) เท่านั้น

พูดง่าย ๆ คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนอยากซื้อบิตคอยน์เพิ่มขึ้น ขณะที่คนอยากขายมีจำกัด ราคาก็จะปรับตัวขึ้น ในทางกลับกันถ้าคนแห่ขายแต่ไม่มีคนซื้อ ราคาก็ร่วงลงทันที คล้ายกับตัวอย่างน้ำดื่มบนเกาะร้าง ที่น้ำขวดเดียวกัน อาจซื้อได้ในราคา 10 บาทที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่มีแหล่งน้ำ อาจต้องจ่ายถึงหลักแสนบาทต่อขวด ความต้องการและข้อจำกัดในการเข้าถึง คือสิ่งที่สร้างมูลค่า

ความพิเศษของบิตคอยน์ คือ มันเป็นระบบการเงินที่ไม่มีใครควบคุมได้ (Decentralized) ไม่มีรัฐบาลใดสามารถสั่งปิดระบบ ไม่มีธนาคารกลางไหนสั่งอัดฉีดหรือถอนเงินจากระบบนี้ได้ และต่อให้มีประเทศไหนต้องการ “แบน” บิตคอยน์ ระบบทั้งหมดก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่มีวันหยุดพัก สิ่งนี้เองที่ทำให้บิตคอยน์ได้รับความเชื่อมั่นในฐานะสินทรัพย์ที่ทนทานต่อการแทรกแซงจากผู้ถือในหลายประเทศทั่วโลก

สถานการณ์ในวันที่โลกปั่นป่วน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกวันนี้ทั้งสถานการณ์ตลาด เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดความผันผวนในโลกของการลงทุนอย่างมาก ถ้ามองจากผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีสินทรัพย์บางกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นเหนือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

โดยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดอันดับ 1 คือ ทองคำ (Gold) ทองคำทำผลตอบแทนได้สูงที่สุดในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองและความเสี่ยงสงคราม โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นซ้ำหลายครั้งในปี 2024

อันดับ 2 คือ บิตคอยน์ ซึ่งทำผลตอบแทนได้ถึง 147.5% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 ซึ่งถือว่าทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์การเงินอื่น ๆ ทั้งหมดในโลกของสินทรัพย์ทางเลือก และยังชนะตลาดหุ้นทั้งไทยและสหรัฐฯ อย่างขาดลอยในปีนี้

ในขณะที่อันดับที่ 3 ถึง 5 เป็นกลุ่มตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย (SET) ที่ให้ผลตอบแทนติดลบเล็กน้อยในปีนี้ ประมาณ -7% ด้าน NASDAQ (สหรัฐฯ) บวกประมาณ 22% และ S&P500 (สหรัฐฯ) ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน

และหากเปรียบเทียบผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Sharpe Ratio) โดยเอาความผันผวนมาคำนวณร่วมด้วย พบว่า ทองคำ ยังครองอันดับ 1 เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (ต่ำสุดแต่คุ้มค่าที่สุด) ด้านบิตคอยน์ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ด้วย Sharpe Ratio ที่แข็งแกร่ง แม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม

สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าในปี 2024 บิตคอยน์เริ่มขยับสถานะจาก “สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง” ไปสู่ “สินทรัพย์ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า” มากขึ้นในสายตาของนักลงทุนสถาบันระดับโลก

คุมตลาดไม่ได้ แต่คุมความเสี่ยงได้

ในการลงทุนไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ทองคำ หรือคริปโต ไม่มีใครสามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างภาวะสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้เลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ราคาสินทรัพย์ก็สามารถร่วงลงได้ทันที 50%-80% แบบที่เราไม่ทันตั้งตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนสามารถควบคุมได้ 100% คือ การบริหารความเสี่ยงในพอร์ตตัวเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งใจลงทุนในสินทรัพย์หนึ่งด้วยเงินเย็น 20,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เรายอมรับได้หากเกิดความเสียหายทั้งหมด นั่นหมายความว่าต่อให้ราคาทรัพย์สินนั้นจะดิ่งลง 80% เราก็ยังควบคุมผลกระทบในชีวิตเราไว้ได้

เพราะฉะนั้น การลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่การเดาให้ถูกว่าราคาจะขึ้นหรือลง แต่คือการออกแบบสัดส่วนพอร์ตและระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน ซึ่งสิ่งนี้นักลงทุนทุกคน “กำหนดเองได้” ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มลงทุน


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ