บริษัท เจเวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ประกาศครบรอบ 7 ปี JFIN จัดงาน JFIN 24th Meetup: Vision 2025 Build & Beyond พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปี 2025 เดินหน้าจับมือพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ขยายระบบนิเวศ JFIN เชื่อมโลกจริงและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน การพัฒนาโทเคนดิจิทัล และการขยายการใช้งานจริงในโลกธุรกิจ ทั้ง Web2 และ Web3
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ CEO ของ JVC เล่าย้อนเรื่องราวของ JFIN Coin ว่า เริ่มต้นในปี 2018 ในช่วงที่โลกกำลังหันหน้ามาสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน และเป็นช่วงที่ยังไม่มีเชนที่หลากหลายนัก โดย JFIN Coin เกิดบนเชน Ethereum ในช่วงที่เริ่มมีการเปิด ICO (Initial Coin Offering) หรือการระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขายดิจิทัลโทเคนผ่านระบบบล็อกเชนต่อสาธารณชน โดยผู้ระดมทุนจะเป็นผู้ออก Digital Token มาแลกกับเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) สกุลหลัก
JFIN ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนได้เกิด JFIN Chain ขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้วาง Infrastructure ที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยยุคหลัก ๆ ของการพัฒนามีอยู่ 3 Steps ดังนี้
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านราย มีการทำธุรกรรมกว่า 30 ล้านครั้ง นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วย Transform องค์กรอื่น ๆ ไปแล้ว 7 แห่ง
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้มีการเปิดตัว “Business Blockchain Technology (BBT)” และโครงการ “Grant Project” เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาและสตาร์ทอัพที่ต้องการสร้างโครงการบน JFIN Chain อีกด้วย
JVC เดินหน้าผสานโลกจริงและบล็อกเชน พร้อมกับดึงสู่ภาคธุรกิจ ผ่าน Real World Asset Tokenization เพิ่มโอกาสในการลงทุนและขยายตลาดสู่ Web3 เตรียมรับการเติบโตของโลกบล็อกเชน ตามที่การ์ทเนอร์คาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2030 โลกของเราจะเข้าสู่ยุคที่สามารถ Enhance Blockchain เข้าสู่ชีวิตประจำวันได้มากขึ้นแล้ว อีกทั้งเชนต่าง ๆ จะมีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้นและแตกต่างกัน
JVC จับมือ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ Kingsford ตั้งบริษัทร่วมทุน KANE Digital ที่มุ่งเน้นที่การระดมทุนผ่าน ICO (Initial Coin Offering) และ Investment Token โดยสอดคล้องกับกฎระเบียบของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น
และคาดว่าในเร็ววันนี้ จะมีการออกเหรียญที่หนุนด้วยสินทรัพย์มีมูลค่า อย่างเช่น ไวน์ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ JVC ยังได้มีส่วนร่วมในโปรเจกต์อื่น ๆ อีก ได้แก่
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้มีการพูดคุยถึงโครงการ “Thai Programmable Payment Sandbox” ความร่วมมือระหว่าง JFIN Chain และ Bitkub Chain ที่เรียกได้ว่าจะเป็นระบบการชำระเงินดิจิทัลแห่งอนาคต ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงการทดสอบโดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยคอยกำกับดูแล
สำหรับ Thai Programmable Payment คือ ระบบการชำระเงินแบบใหม่บนโลกบล็อกเชนที่ไม่เพียงแค่ทำหน้าที่การแลกเปลี่ยนมูลค่าแบบปกติ แต่ยังสามารถตั้งเงื่อนไขการชำระเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเงื่อนไขชำระเงินล่วงหน้า ตลอดจนให้ชำระเงินอัตโนมัติตามกำหนดหรือเมื่อเงื่อนไขที่ตั้งถูกต้อง โดยจะทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยี Smart Contract และ Blockchain
สิ่งนี้จะช่วยให้การทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีความปลอดภัยสูงสุด โดยข้อมูลการชำระเงินจะถูกบันทึกและเก็บรักษาอย่างโปร่งใสในเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาศูนย์กลางควบคุม
นอกจากนี้ Programmable Payment นี้จะแตกต่างจาก Programmable Money ตรงที่ Programmable Money มักจะเป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC ที่จะสามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายได้ตามนโยบาย เช่น การใช้จ่ายเฉพาะกับสินค้าหรือบริการบางประเภท ส่วน Programmable Payment คือระบบการชำระเงินที่สามารถกำหนดเงื่อนไขในการทำธุรกรรมได้ล่วงหน้า โดยการใช้งานในระดับธุรกิจหรือการพาณิชย์ที่มีความยืดหยุ่นและอัตโนมัติมากกว่า
ดังนั้น ความร่วมมือระหว่าง JFIN Chain และ Bitkub Chain ในการพัฒนา Thai Programmable Payment Sandbox ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบการชำระเงินของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกรรม ทั้งในด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และความรวดเร็ว
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney