"ไทยเบฟ" ปิดฉาก SX2025 ยิ่งใหญ่ ทรานส์ฟอร์มสู่ผู้นำด้านความยั่งยืนอาเซียน

Sustainability

ESG Strategy

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"ไทยเบฟ" ปิดฉาก SX2025 ยิ่งใหญ่ ทรานส์ฟอร์มสู่ผู้นำด้านความยั่งยืนอาเซียน

Date Time: 6 ต.ค. 2568 04:13 น.

Summary

การปิดฉากลงของงาน SX2025 เต็มไปด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์แน่นตลอดงานในปีนี้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของมหกรรม“พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก”แต่ยังเป็นการเปิดฉากใหม่ของการเดินหน้าสู่สังคมที่สมดุล ยั่งยืน

Latest

แบงก์ทยอยประกาศ No Gift Policy ไม่รับของขวัญ ของกำนัล สร้างบรรทัดฐาน ตัดช่องทางติดสินบน

มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน “Sustainability Expo 2025” หรือ SX2025 ซึ่งจัดโดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ปิดฉากลงอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลังเปิดเวทีตลอด 10 วันเต็ม เพื่อรวมพลังภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมขับเคลื่อนแนวทางการปรับตัวและสร้างความร่วมมือเพื่อโลกที่ยั่งยืน

งานปีนี้จัดขึ้นด้วยการยึดมั่นแนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” พร้อมโชว์นวัตกรรมและกิจกรรมด้านความยั่งยืนรอบด้าน ตั้งแต่สุขภาพ อาหาร ชุมชน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้เข้าร่วมงานนับแสน ผู้เชี่ยวชาญ 750 คน เครือข่ายธุรกิจชั้นนำกว่า 270 องค์กร ตอกย้ำบทบาทของ SX ในฐานะแพลตฟอร์มความร่วมมือระดับภูมิภาค

การปิดฉากลงของงาน SX2025 ซึ่งเต็มไปด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์แน่นตลอดงานในปีนี้ จึงไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของมหกรรม “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” ตามพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “เปิดฉากใหม่” ของการเดินหน้าสู่สังคมที่สมดุลและยั่งยืนในอนาคตเป็นสำคัญ

ไทยเจ้าภาพ Enactus World Cup 2025

นอกจากหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ การกล่าวปาฐกถาพิเศษบนเวทีสัมมนา Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry หัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน” ของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย

และการมอบรางวัล SX Shaper Award ให้กับ Enactus Global เครือข่ายการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์กรไม่แสวงหากำไรก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างนักศึกษาที่ไม่เพียงมี “หัวคิดธุรกิจ” แต่ยังมี “หัวใจเพื่อโลก” สร้างโอกาสใหม่ให้ชุมชน พัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ยังนับเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 Presented by ThaiBev เวทีประชันไอเดียของ “นักเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่” จากทั่วโลกในนามของสมาชิก Enactus World Cup ที่มีเยาวชนจาก 35 ประเทศ และคณาจารย์ กว่า 2,000 คนเข้าร่วม

โดยมูลนิธิรากแก้วและไทยเบฟเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก ร่วมด้วย The Sunshine Charitable Foundation ผู้สนับสนุนด้านผลกระทบ, Bentley Systems, Harmany Gold, KPMG และธนาคารกสิกรไทย ผู้สนับสนุนด้านนวัตกรรม

การแข่งขันดังกล่าวเป็นเวทีประลองไอเดียของเยาวชนตัวแทนของแต่ละประเทศ ที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านความยั่งยืน ได้แก่ นวัตกรรมเกษตรและระบบอาหาร (Agricultural Innovation & Food Systems) มีทีมที่พัฒนาปุ๋ยอินทรีย์ (อาเซอร์ไบจาน,เอสวาตีนี) แก้ปัญหาดินเสื่อมโทรม (อียิปต์, เกาหลีใต้) เชื่อมเกษตรกรเข้ากับตลาด (โคลอมเบีย) พลิกโฉมอุตสาหกรรมปศุสัตว์ (อินเดีย) ฟื้นฟูห่วงโซ่คุณค่าเกษตรทั้งระบบ (ไทย) และพัฒนานวัตกรรมด้านสัตวแพทย์ (ตูนิเซีย, ซิมบับเว)

การจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Waste Management & Circular Economy) หลายทีมมุ่งเน้นการเปลี่ยนขยะให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ตั้งแต่การนำเศษผลไม้และเศษเกษตรมาใช้ใหม่ (กานา, ลิทัวเนีย) จนถึงนวัตกรรมใหม่ เช่น แบตเตอรี่จากขยะทุเรียน (ฮ่องกง) การอัปไซเคิลสิ่งทอ (อิตาลี) ไบโอพลาสติกจากสาหร่าย (แคนาดา) และธุรกิจเปลี่ยนขยะเป็นทรัพยากรแบบครบวงจร (โมร็อกโก, เนเธอร์แลนด์, เปอร์โตริโก)

 นวัตกรรมด้านสาธารณสุขและการเข้าถึงบริการ (Healthcare Innovation & Access) ทีมต่างๆผสานการดูแลสุขภาพดิจิทัลและกายภาพ ผ่านแพลตฟอร์มแพทย์ทางไกล (คาซัคสถาน) การวินิจฉัยด้วย AI (เม็กซิโก) ระบบสนับสนุนบุคลากรสาธารณสุข (โปแลนด์) ผลิตภัณฑ์การแพทย์ย่อยสลายได้ (เคนยา) โซลูชันด้านสุขภาพสำหรับผู้หญิง (ฝรั่งเศส) และการคมนาคมที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มเปราะบาง (กัวเตมาลา)

การเข้าถึงพลังงานและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม (Energy Access & Environmental Technology) โครงการที่มุ่งแก้ปัญหาความยากจนด้านพลังงานผ่านโซลาร์เซลล์และการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (บราซิล) ทางเลือกเชื้อเพลิงสะอาดในการทำอาหาร (ไนจีเรีย) การฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล (เยอรมนี) นวัตกรรมดักจับคาร์บอน (สหราชอาณาจักร) และโซลูชันพลังงาน-เกษตรแบบบูรณาการ (ซิมบับเว) โดยผู้คว้ารางวัลการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 ปีนี้คือ มหาวิทยาลัยเซนต์แมรี จากแคนาดา

เศรษฐกิจท้าทายแต่ไทยเบฟยังยืนหยัด

ไทยเบฟยังได้เปิดเผยทิศทางของแผนธุรกิจประจำปี 2568 ตอกย้ำกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน การค้า การท่องเที่ยวและการบริโภคฟื้นตัวไม่เต็มที่

ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยเบฟ ชี้ว่าแม้จะมีแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ ไทยเบฟยังคงเดินหน้าทรานส์ฟอร์มปรับโฉมองค์กร และดำเนินกลยุทธ์ที่วางไว้....

โครงการ PASSION 2030 จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคง สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

ถ้อยแถลงของฐาปนย้ำด้วยว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ราคาพลังงาน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่สิ่งที่ทำให้ไทยเบฟยังสามารถก้าวเดินได้อย่างมั่นใจ คือการลงทุนต่อเนื่องในแบรนด์สินค้า การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการเสริมความคล่องตัวในการดำเนินงาน แม้ผลประกอบการจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น แต่เชื่อมั่นว่านี่คือการลงทุนเพื่ออนาคต

PASSION 2030 เสาหลักของการเติบโต

PASSION 2030 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการนำพาธุรกิจสู่อนาคต ประกอบด้วย 2 เสาหลัก ได้แก่

1.Reach Competitively การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทุกช่องทาง และให้บริการที่ไร้รอยต่อในต้นทุนที่แข่งขันได้

2.Digital for Growth การนำดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจ ทั้งการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทั้งคู่ค้าและผู้บริโภค

นอกจากนี้ การผนวกรวม F&N ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มในปี 2567 ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมพอร์ตสินค้าและเพิ่มพลังการกระจายสินค้าในระดับภูมิภาค โดยดีลนี้นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 12,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นฐานเจาะตลาดผู้บริโภคมุสลิมในภูมิภาคที่มีขนาดตลาดค่อนข้างใหญ่เช่นกัน

รายได้ 9 เดือนทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้กำไรสุทธิ ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จะลดลง 4% เหลือ 45,026 ล้านบาท แต่มาจากการลงทุนเชิงรุกในแบรนด์และการตลาด ซึ่งเป็นการสร้างฐานที่มั่นคงในระยะยาว แบ่งเป็น

1.ธุรกิจสุรา มีรายได้ 92,778 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่รากฐานยังแข็งแกร่ง โดยมีการเปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้แบรนด์แรกของไทย คว้ารางวัลจากเวที World Whiskies Awards 2025 ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

รวมทั้ง ZATO (ซาโต้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สัญชาติไทย พัฒนาจากสาโทข้าวหอมมะลิแบบดั้งเดิมในรูปแบบกระป๋อง หรือ RTD คว้ารางวัลจากหลายเวทีระดับโลก

ในตลาดเมียนมา แบรนด์ Grand Royal Whisky ยังคงครองความเป็นผู้นำ ขณะเดียวกันยังมีการเปิดตัว Chingu Soju ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยกลยุทธ์หลักของธุรกิจสุราคือการเสริมความแข็งแกร่งของตราสินค้าหลักในประเทศ ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เพิ่มความยั่งยืนด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบ Zero Waste to Landfill

2.ธุรกิจเบียร์ มีรายได้ 96,497 ล้านบาท EBITDA เพิ่มขึ้น 4% เป็น 12,573 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการลดต้นทุนวัตถุดิบและประสิทธิภาพการผลิต มีเบียร์ช้างเป็นแบรนด์หลัก และเสริมไลน์พรีเมียม เช่น Chang Cold Brew ที่คว้ารางวัลเหรียญทองจากเวทีต่างประเทศ ขณะที่ในเวียดนาม ซาเบโก้ (Sabeco) ครองตลาดเบียร์อันดับ 1

3.ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีรายได้ 49,326 ล้านบาท

ลดลงเล็กน้อย แต่ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้น โดยมีแบรนด์หลักอย่าง โออิชิ กรีนที ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดชาเขียว และน้ำดื่มคริสตัล นอกจากนี้ การรวมกิจการ F&N ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีม เช่น NutriWell และ Magnolia Hershey’s ซึ่งขยายฐานผู้บริโภคได้กว้างขึ้น

4.ธุรกิจอาหาร มีรายได้ 16,563 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังคงมุ่งขยายสาขาใหม่ มีการปรับโฉมร้านชาบูชิ เน้นคุณภาพ ความสร้างสรรค์ และช่วงเวลาแห่งความสุข ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่

ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนสะท้อนให้เห็นชัดเจนในแผนธุรกิจของไทยเบฟ ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล และผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

เป้าหมายสำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเหลือ 0 หรือ Net Zero ภายในปี 2593 สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเป้าหมาย SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ

ฐาปนสรุปว่า ไทยเบฟพร้อมเดินหน้าสู่การเป็น “ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน” ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร ด้วยการลงทุนด้านดิจิทัล นวัตกรรม การสร้างแบรนด์พรีเมียม การผนึกกำลังกับพันธมิตรในระดับภูมิภาค

ไทยเบฟ...จึงไม่หยุดแค่การเป็นผู้สร้างการเติบโตเชิงธุรกิจ แต่ยังเน้นการสร้างคุณค่าแก่ผู้บริโภค พนักงาน คู่ค้า และสังคม ด้วยพันธกิจที่ชัดเจน “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ