
หลายคนที่ติดตามข่าวสารการเงิน หรือข่าวสารจากต่างประเทศจะต้องรู้จักสำนักข่าวระดับโลกแห่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากในโลกสื่อ โดยเฉพาะด้าน Financial นั่นคือ “Bloomberg” ซึ่งเริ่มต้นแล้ว ชื่อของ Bloomberg จะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะระบบข้อมูลทางการเงินรายใหญ่ที่วอลสตรีทต้องใช้ ก่อนจะขยับมาเป็นสื่อที่รู้จักกันทั่วโลก
“Michael Bloomberg” คือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอาณาจักร Bloomberg มหาเศรษฐีอันดับที่ 17 ของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 109,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2025) แต่เบื้องหลังของความมั่งคั่งนี้ เขามีบทบาทมากกว่านักธุรกิจ แต่ยังเป็นนักปกครอง และนักบุญทุนหนา ที่เห็นโอกาสในช่วงที่ตัวเองวิกฤต เห็นข้อมูลว่าเป็นสินทรัพย์ จนกลายเป็นบุคคลสำคัญแห่งวอลสตรีท
บทความนี้ Thairath Money ในคอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกทุกมุมของชีวิตของ Michael Bloomberg อัจฉริยะของอุตสาหกรรมการเงิน ผู้ที่พลิกโฉมการทำงานของนักลงทุนในวอลสตรีทด้วยข้อมูล และต่อยอดมาสู่อาณาจักรสื่อและเทคโนโลยีที่ทุกสถาบันการเงินขาดไปไม่ได้
ภาพของ Michael Bloomberg ในวัยแรกเริ่มนั้น ไม่ได้เติบโตในสังคมคนร่ำรวยใจกลางแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กแต่อย่างใด เขาเติบโตในเมืองเมดฟอร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและความมุ่งมั่นของครอบครัวที่เป็นผู้อพยพ
ช่วงที่เขาเกิด คือ ในปี 1942 เป็นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสหรัฐอเมริกามีบทบาทหลักในสงคราม ทำให้ในประเทศตอนนั้นแต่ละฝ่ายทั้งหญิงและชายต่างต้องออกมาช่วยสนับสนุนงานในชาติ คุณพ่อ William Henry Bloomberg และคุณแม่ Charlotte Rubens Bloomberg ที่เป็นลูกหลานของผู้อพยพชาวรัสเซีย ได้กลายเป็นตัวแทนภาพลักษณ์การไต่เต้าทางสังคมของชนชั้นกลางชาวยิวในอเมริกาช่วงกลางศตวรรษได้อย่างชัดเจน
William Bloomberg ทำงานเป็นนักบัญชีให้กับบริษัทนม มีรายได้พอกินพอเลี้ยงครอบครัว จุดเริ่มต้นของ Michael Bloomberg จึงไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยหรือติดหรู อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ของชนชั้นแรงงานในแถบชานเมือง เป็นครอบครัวที่ไม่ได้ลำบาก มีงานมั่นคง แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย
ความน่าสนใจของ Michael Bloomberg คือ ก้าวสำคัญในวัย 12 ปีของเขาที่ได้เข้าร่วม Boy Scouts of America ซึ่งเขาได้ระบุไว้ในเว็บไซต์ Mike Bloomberg อธิบายว่า เขาสามารถคว้าตำแหน่ง Eagle Scout ซึ่งเป็นยศสูงสุดที่ลูกเสือเพียงส่วนน้อยนิดจะทำได้ และภาคภูมิใจอย่างมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่สอนเขาเรื่องวินัยที่ต้องใช้และต้องรักษา ความทะเยอทะยานในการเก็บเครื่องหมาย และความเป็นผู้นำ ที่ส่งผลให้ต่อมาเขาเป็นบุคคลที่รังเกียจความไร้ระเบียบอย่างมาก
หลังจากจบการศึกษาที่ Medford High School ในปี 1960 เขาได้เข้าศึกษาที่ Johns Hopkins University ที่เมืองบัลติมอร์ ในด้านวิศวกรรมไฟฟ้า โดยเขาต้องทำงานเพื่อหาเงินเข้าเรียนด้วยตัวเอง ทั้งเป็นพนักงานเฝ้าลานจอดรถ และยังต้องกู้เงินเพื่อมาเรียนอีกด้วย
เมื่อเรียนจบวิศวกรรมไฟฟ้า เขาก็ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ Harvard Business School และคว้าปริญญา MBA มาได้ในปี 1966 ซึ่งที่นี่เองทำให้เขาได้เข้าใจในเรื่องการเงิน และการบริหารจัดการ สร้างพื้นฐานของการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต
ช่วงดังกล่าวตรงกับยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่คนรุ่นใหม่ในยุคหลังสงครามเริ่มนำการวิเคราะห์ทางสถิติมาใช้ในการบริหารจัดการ และ Michael Bloomberg เองก็ยืนอยู่ตรงจุดตัด ที่เข้าใจทั้งงานปฏิบัติ เข้าใจเทคโนโลยีจากดีกรีวิศวกรรมไฟฟ้าที่ได้มา และเข้าใจทฤษฎีของโลกการเงินเป็นอย่างดี
งานแรกที่เขาทำหลังจากเรียนจบคือที่ Salomon Brothers สถาบันการเงิน Investment Bank ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น โดยบทบาทแรกของ Michael Bloomberg ในวอลสตรีท คือ การนั่งนับใบหุ้นและพันธบัตรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐด้วยมือ
ช่วงกลางทศวรรษ 1960 ในขณะนั้นอุตสาหกรรมการเงินอย่างวอลสตรีทยังคงพึ่งกระดาษเป็นหลัก ดังนั้นการซื้อขายทุกครั้งหมายถึงการต้องขนย้ายใบหลักทรัพย์จริง ๆ ไปมาผ่านระบบท่อ จุดนี้ทำให้เขาเล็งเห็นช่องว่าง เห็นกลไกเบื้องหลังของตลาดอย่างชัดเจน ว่ามันล่าช้า และไร้ประสิทธิภาพเพียงใด
การทำงานใน Salomon Brothers ดำเนินไปแบบขึ้น ๆ ลง ๆ เขาเคยไปสู่จุดที่เป็น General Partner คนสำคัญของโต๊ะเทรดหุ้น ก่อนจะถูกผลักไปทำงานเบื้องหลังในฝ่ายสารสนเทศ (Information Systems) ของบริษัทแทน
แต่ในความโชคร้ายยังมีเรื่องดี ๆ เพราะมันไปตรงกับช่วงการปฏิวัติยุคดิจิทัล เขาเริ่มนำพื้นฐานวิศวกรรมมาประยุกต์ใช้กับตลาดการเงิน เขามองเห็นว่าเทรดเดอร์เสียเปรียบเพราะขาดข้อมูลแบบเรียลไทม์ เทรดเดอร์ยังตัดสินใจโดยอิงจากราคาปิดของเมื่อวาน หรือเศษเสี้ยวข้อมูลที่ได้จากการโทรศัพท์ และเขาตระหนักว่า อนาคตของการเงินไม่ได้อยู่ที่สัญชาตญาณของเทรดเดอร์ แต่อยู่ที่ความเร็วและความแม่นยำของข้อมูลบนหน้าจอ
แต่แล้วในปี 1981 เขาก็ก้าวเข้าสู่ช่วงตกต่ำของชีวิต เมื่อ Salomon Brothers ถูกเข้าซื้อกิจการ ทำให้เขาต้องถูกไล่ออก แต่ในฐานะของ General Partner หุ้นที่เขาถืออยู่ถูกเปลี่ยนเป็นเงินสด มอบเป็นเงินชดเชยให้เขาประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และเงินก้อนนี้แหละที่กลายมาเป็นเงินทุนตั้งต้นของการก่อตั้งบริษัท และทำให้เราทุกคนได้รู้จักกับ Bloomberg L.P. ในเวลาต่อมา
“โลกการเงินกำลังจมน้ำตายเพราะข้อมูลดิบที่ล้นทะลัก”
Michael Bloomberg ไม่ได้หยุดแค่เงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้มาและเกษียณออกจากตลาดการเงินตามที่หลายคนแนะนำ แต่เขากลับนำเงินทุนนั้นมาตั้งต้นก่อตั้ง “Innovative Market Solutions” โดยมีวิสัยทัศน์หลักชัดเจนคือ “จะเอาคอมพิวเตอร์ไปวางบนโต๊ะทำงานทุกตัวในวอลสตรีท”
เขามองย้อนกลับไปที่อุตสาหกรรมการเงินที่เขาเพิ่งเดินจากมา และเห็นความไร้ประสิทธิภาพที่เด่นชัดที่สุด จนตระหนักได้ว่า บริษัทในวอลสตรีทย่อมยอมจ่ายแพงเพื่อระบบที่สามารถรวบรวมข้อมูล ทำการวิเคราะห์ซับซ้อน อย่างเช่น กราฟผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Yield Curves และส่งข้อมูลเหล่านั้นได้แบบเรียลไทม์
ผลิตภัณฑ์แรกที่ออกมาคือ “Bloomberg Terminal” นวัตกรรมเปลี่ยนโลก ซึ่งก่อนที่จะมีเครื่องมือนี้ เดิมแล้วเทรดเดอร์หนึ่งคนอาจต้องมองจอ Telerate เพื่อดูราคาพันธบัตร จอ Quotron เพื่อดูราคาหุ้น กดเครื่องคิดเลขเพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทน และมีกองหนังสือพิมพ์ตั้งพะเนินเพื่อติดตามข่าวสาร แต่เครื่องมือนี้ได้ออกแบบมาเพื่อบูรณาการทุกอย่างที่ว่ามานี้ให้เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศเดียวกันอย่างแนบเนียน
ความอัจฉริยะของ Bloomberg Terminal ไม่ได้อยู่ที่การรวบรวมข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การวิเคราะห์ด้วย โดยจะช่วยให้เทรดเดอร์เปรียบเทียบพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กับหุ้นกู้เอกชนได้ในทันที และสามารถสร้างกราฟแนวโน้มย้อนหลังได้ด้วยการกดปุ่มเพียงไม่กี่ครั้ง
แต่ผลิตภัณฑ์ใหม่และก้าวหน้าในตลาดมักจะถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือเสมอ สถาบันการเงินรายใหญ่ไม่มั่นใจที่จะฝากข้อมูลสำคัญไว้กับเครื่องมือนี้ จนจุดเปลี่ยนมาถึงในปี 1982 เมื่อ Merrill Lynch บริษัทการลงทุนชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องมือ แถมลงทุนอีก 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกกับหุ้น 30% ของบริษัท
เมื่อความเชื่อถือเพิ่มขึ้น บริษัทก็เติบโตอย่างเต็มที่ และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “Bloomberg L.P.” ในปี 1986 และปั้นโมเดลธุรกิจที่จะไม่ขายสินค้า แต่จะให้เช่า Bloomberg Terminal แทน นับเป็นโมเดล Subscription ยุคแรก ๆ ในตลาดที่ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ โดยค่าสมาชิกหนึ่งเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 31,980 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ด้วยจำนวนสมาชิกทั่วโลกราว 350,000 ราย ตัวเลขที่ธุรกิจ Bloomberg Terminal สร้างได้นั้นสูงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว
ปัจจุบัน Bloomberg L.P. ยังคงรักษาสถานะเป็น “บริษัทเอกชน” (Private Company) ไว้ จึงไม่มีงบการเงินเปิดเผยออกมาต่อสาธารณะ แต่คาดว่าเมื่อปี 2023 บริษัทมีรายได้ที่ 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อ Bloomberg Terminal ทำเงินได้มหาศาล และตัวเองก็คลุกคลีอยู่ในอุตสาหกรรมการเงินมาแล้วเกือบทั้งชีวิต Michael Bloomberg ได้มองเห็นช่องทางและขยายอาณาจักรต่อไปสู่การทำสื่อ ได้เปิดตัว “Bloomberg Business News” (ปัจจุบันคือ Bloomberg News) ในปี 1990 เพื่อป้อนข่าวเข้าสู่ Terminal โดยที่ไม่ต้องการพึ่งพาสำนักข่าว Dow Jones อีกต่อไป
ต่อมาได้ขยายธุรกิจสื่อไปสู่โทรทัศน์ วิทยุ และนิตยสาร และแม้ว่าแผนกสื่อจะทำกำไรได้น้อยกว่า แต่มันทำหน้าที่เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญยิ่ง ทั้งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ และยังเป็นการรับประกันว่า Bloomberg Terminal จะเป็นแหล่งข่าวที่เร็วที่สุด และจะสามารถมัดใจสมาชิกให้อยู่กับระบบตลอดไป
ต่อมาใน 2001 เขาได้ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางสายการเมือง ลงสมัครนายกเทศมนตรี (Mayor) ของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งช่วงเวลานั้นเพิ่งเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ 9/11 ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกผู้ก่อการร้ายพุ่งชนโดยเครื่องบิน จนมีการสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในสภาพบอบช้ำ ทำให้ตอนนั้น บุคคลที่ประชาชนมองหา ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นมืออาชีพที่จะเข้ามาจัดการสถานการณ์ได้ เลยทำให้มหาเศรษฐี Michael Bloomberg ชนะเลือกตั้งมาได้
หลังจากรับตำแหน่งนายกเทศมนตรี เขาก็เริ่มเปลี่ยนวิธีการบริหารเมือง โดยเน้นไปที่วิถีที่เขาดำเนินมาในธุรกิจ นั่นคือ การพึ่งพาข้อมูล และเทคโนโลยี ผลลัพธ์คือนิวยอร์กฟื้นตัวจากเหตุการณ์ 9/11 และวิกฤตการเงินปี 2008 ได้เร็วกว่าและแข็งแกร่งกว่ามหานครอื่น ๆ งานพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการท่องเที่ยวเฟื่องฟู จนเขาได้รับตำแหน่งติดต่อกันถึง 3 สมัย รวมเป็นระยะเวลา 12 ปี
และหลังจากออกจากการเป็นนายกเทศมนตรีในปี 2013 เขาก็กลับเข้าสู่วงการธุรกิจอีกครั้ง และเดินหน้าเต็มที่ในด้านการกุศล ก่อตั้ง “Bloomberg Philanthropies” ขึ้น เพื่อนำเงินกำไรที่ได้จากธุรกิจของตัวเองไปดำเนินงานการกุศล หนุนด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การศึกษา นวัตกรรมภาครัฐ และศิลปวัฒนธรรม
ที่มา: Forbes, Mike Bloomberg, EBSCO, Investopedia [1][2][3][4], Morningside Center, HBR
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney